Baldur's Gate 3

Baldur's Gate 3

28 ratings
[BG3] Guide#001 วิธีทำบิ้วมัลติคลาสในแบบฉบับของคุณเอง
By Kingreader-K
เมื่อคุณอยากทำบิ้ว Multiclass ในแบบของคุณเองด้วยตัวคุณเอง แต่ไม่รู้ว่าจะเริ่มจากตรงไหน หรือเจอแต่ข้อมูลยากๆที่ไม่เข้าใจ ... วันนี้เรามีคำตอบและคำแนะนำแบบละเอียดยิบให้คุณ ที่นี่แล้ว

อ้างอิงจากเกม Version 4.1.1.6848561 (Patch 8 Hotfix 32)
2
   
Award
Favorite
Favorited
Unfavorite
Introduction & Overview
สวัสดีนักผจญภัยแห่งเฟย์รูนทุกท่านนะครับ วันนี้กลับมาพบกับผม Kingreader-K อีกเช่นเคย แต่จะมาในไกด์รูปแบบใหม่ นั่นก็คือ "วิธีทำบิ้ว Multiclass ด้วยตัวคุณเอง"

อย่าเพิ่งร้องอี๋ครับ! มาถึงตรงนี้ผมเข้าใจว่าหลายๆคนที่เคยลอง Multiclass แล้วเจอข้อมูลเยอะๆยากๆมึนๆ ทำให้เกิดประสบการณ์แย่ๆ จนล้มเลิกที่จะนั่งทำบิ้วเองหันไปเปิด Youtube หรือไกด์อื่นดูแล้วทำตามดีกว่า ... ผมเองก็เคยผ่านจุดนั้นมาก่อน แต่เชื่อเถอะครับว่า การได้ทำบิ้วในแบบที่ตัวเราเองต้องการนั้น มันจะทำให้เราอินไปกับเนื้อเรื่องเกมหรือ Roleplay ได้ดีกว่าการไปเอาบิ้วคนอื่นมาเล่นแน่นอน ลองนึกถึงตอนที่คุณอยากทำบิ้วนักรบเกราะหนักที่ใช้พลังธาตุไฟขั้นสุดในการโจมตีศัตรู แล้วนั่งผสมเองจนเกิดเป็นบิ้วเฉพาะตัวของคุณดูสิครับ แค่คิดก็ฟินแล้ว(รึป่าว?) ... วันนี้ผมเลยขออนุญาตแบ่งปันหลักการ วิธีการและความรู้เรื่อง Multiclass อันน้อยนิดของผมให้ทุกท่านได้สามารถนำไปใช้ทำบิ้วได้สนุกมากขึ้นครับ

ในไกด์นี้ ผมจะอธิบายหลักการพื้นฐานในการผสมคลาส, แหล่งข้อมูลในการศึกษา, และ Milestone หลักๆของแต่ละ Subclass (ใช่ครับ ลงย่อยให้ทุก Subclass เลย) โดยผมจะเรียบเรียงเป็นข้อมูลให้ทุกท่านได้อ่านแล้วเข้าใจง่าย แต่สามารถเอาไปใช้ทำบิ้วได้อย่างสนุกสนานที่สุดเท่าที่ทำได้เลยครับ

อ่อ แล้วก็สำหรับใครที่รอบิ้วไกด์ต่อไปก็ไม่ต้องกังวลว่าผมจะเลิกทำนะครับ เพราะตอนนี้ยังมีไอเดียทั้งจากตัวเองและคนในคอมมูหลายๆอย่างมาให้นั่งทำบิ้วเล่นอยู่ ยังไงก็มีทำต่อเรื่อยๆแน่นอนครับผม ... ว่าแล้ว เราไปเข้ารายละเอียดของไกด์นี้กันเลยดีกว่าครับ


ความรู้พื้นฐานก่อนการจัดบิ้ว
ก่อนจะพูดถึงรายละเอียด ก็คงเลี่ยงที่จะพูดถึงเรื่องพื้นฐานก่อนไม่ได้ครับ และนี่คือหัวข้อหลักๆที่คุณจะต้องรู้ก่อนที่จะเริ่มทำบิ้ว Multiclass

1. คุณต้องการบิ้วนี้เพื่อทำอะไร
หลักการทั่วไปแบบสากลเลยครับ ก่อนที่คุณจะไปหาคำตอบ คุณต้องมีโจทย์ก่อนเสมอ ... การบิ้ว Multiclass ก็เช่นกันครับ อย่างน้อยคุณต้องรู้ก่อนว่าคุณกำลังจะทำอะไร เช่น อยากทำบิ้วสายซัพพอร์ตที่สามารถทำดาเมจและต่อสู้ระยะประชิดได้, อยากได้นักเวทย์ที่ร่ายคาถาอัญเชิญโดยเฉพาะ, อยากได้นักกวีสายคุยแบบคนดี แต่พอตอนโจมตีร่ายแต่เวทย์แห่งความตาย, หรือแม้กระทั่งอยากบิ้วแล้ว Roleplay เป็น Witcher อย่าง Geralt of Rivia แบบนี้เป็นต้น ... พอคุณมีโจทย์ที่คุณต้องการแล้ว ต่อไปก็เป็นกระบวนการในการหาคำตอบที่จะตอบโจทย์เราได้มากน้อยแค่ไหนนั่นเองครับ


2. Saving Throw และ Equipment Proficiencies ของการ Multiclass
อันนี้ก็เป็นอีกสิ่งที่สำคัญ เพราะ Saving Throw และ Equipment Proficiencies ของคลาสหลัก และคลาสรองที่เราจะ Multiclass เข้าไปนั้น ไม่เหมือนกันครับ ก่อนอื่นเรามารู้จักทั้งสองสิ่งนี้ก่อน

2.1 Saving Throw Proficiencies
เวลาเราโดนโจมตีด้วยเวทย์มนต์หรือสถานะต่างๆ หรือแม้กระทั่งตอนเราโจมตีศัตรูเอง มันจะมีการเช๊ค Saving Throw หรือเรียกง่ายๆว่า "การโรลแต้มเต๋าป้องกัน" ก็ได้ครับ ... เช่น เวทย์มนต์ Hold Person จะเขียนว่า "WIS Save" ใน Tooltips ซึ่งหมายความว่า คนที่โดนจะต้องโรลเต๋าป้องกันและบวกโบนัสด้วย Ability ค่า Wisdom นั่นเอง

ทีนี้ Saving Throw Proficiencies ของแต่ละคลาสมีผลยังไง คำตอบคือ เป็นแต้มโบนัสให้ตอนโรลเต๋าป้องกันครับ ซึ่ง Saving Throw Proficiencies ที่เราจะได้ จะเป็นของคลาสหลักหรือคลาสแรกที่เราเลือกเท่านั้น โดยแต่ละคลาสจะมี Saving Throw Proficiencies คลาสละสองค่า ยกตัวอย่างเช่น ถ้าคุณจะเล่นบิ้ว Fighter/Monk ถ้าคุณเลือกคลาส Fighter ก่อนจะได้เป็น Str และ Con ... แต่ถ้าเลือก Monk คุณจะได้เป็น Str และ Dex แทนครับ ซึ่งโบนัส Proficiencies จะเพิ่มตามเลเวลของตัวละครเรา ดังนี้
  • +2 แต้ม เมื่อตัวละครเราเลเวล 1
  • +3 แต้ม เมื่อตัวละครเราเลเวล 5
  • +4 แต้ม เมื่อตัวละครเราเลเวล 9

ดังนั้น คุณต้องลองชั่งใจดูให้ดีครับ ว่าต้องการได้โบนัส Saving Throw ค่าไหนบ้างจะได้เลือกคลาสหลักอันแรกถูก +4 อาจจะดูไม่เยอะ แต่ก็อาจจะช่วยให้คุณ Saved รอดจากสถานการณ์แย่ๆได้นะครับ


2.2 Equipment Proficiencies
อันนี้ก็เป็นอีกสิ่งที่จำเป็นต้องดูให้ดีครับ เพราะความชำนาญในอาวุธและเกราะที่คุณจะได้จากคลาสหลักและคลาสรองนั้นต่างกัน เช่น ถ้าคุณเล่น Paladin เป็นคลาสหลัก คุณจะได้ความชำนาญในเกราะหนัก Heavy Armour ... แต่ถ้าคุณเลือก Multiclass Paladin เป็นคลาสรอง คุณจะไม่ได้ ความชำนาญในเกราะหนัก Heavy Armour มานะครับ ซึ่ง Proficiencies ที่คุณจะได้จากการ Multiclass จะเป็นดังนี้

จริงๆในส่วนของรายละเอียดความชำนาญยังมีอีกหลายส่วนครับ เช่น Skills หรือ Proficiencies ของแต่ละเผ่าอีก แต่ไม่ได้จำเป็นขนาดนั้นครับ สำหรับใครที่อยากลงรายละเอียดเพิ่ม ให้ลองหาอ่านได้จาก Wiki หรือลิ้งค์ที่ผมแจ้งไว้ใน References ด้านล่างได้เลยครับ

3. Spellcasting และ Key Abilities
อีกเรื่องสำคัญ (อีกแล้ว) ที่คุณต้องรู้ก็คือ ค่า Abilities ที่จำเป็นสำหรับคลาสต่างๆที่คุณจะเลือกครับ ซึ่งแน่นอน การบิ้วของเรานั้นจะถูกจำกัดไว้ที่เลเวล 12 และเมื่อคุณ Multiclass ถ้าไม่ได้ลงเลข 4 หารลงตัว คุณจะได้ Feat มาใช้เพิ่ม Abilities น้อยกว่าพวก Single Class ... ทำให้เวลาที่จะทำบิ้วซักอัน คุณจะต้องรู้ว่าค่าไหนที่คุณควรเพิ่มให้เยอะๆ และคลาสไหนบ้าง ที่ใช้ประโยชน์จากค่า Abilities นั้นๆได้ด้วย ... ซึ่งในส่วนนี้ผมขอทำเป็นตารางสรุปตามความคิดผมให้ประมาณนี้ครับ

  • O = ค่า Ability ที่คลาสนั้นๆใช้เป็น Spellcasting Abilities
  • X = ค่า Ability ที่คลาสนั้นๆใช้เป็น Key Abilities หรือเรียกง่ายๆว่า Ability หลัก (อาจมีมากกว่า 1 ครับ)

Class
STR
DEX
CON
INT
WIS
CHA
Barbarian
X
X
X
O
Bard
X
X
XO
Cleric
X
X
XO
Druid
X
X
XO
Fighter
X
X
X
O
Monk
X
X
XO
Paladin
X
X
XO
Ranger
X
X
XO
Rogue
X
X
O
Sorcerer
X
X
XO
Warlock
X
X
XO
Wizard
X
X
XO

จากตารางจะสังเกตุได้ว่า Con นี่ถือเป็น Key Ability ทุกคลาสเลย เป็นเพราะเมื่อ Con ยิ่งสูงยิ่งได้เลือดต่อเวลเยอะ และทำให้หลุด Concentrate จากเวทย์ได้ยากขึ้น ทำให้เหมาะกับทุกคลาสเลยครับ ... อีกอันที่ควรอัพไว้แทบทุกคลาสก็คือ Dex เพราะยิ่งสูงจะทำให้เรามี AC มากขึ้นเมื่อไม่ได้ใส่เกราะหนัก แถมยังทำให้เราได้ตาเดินก่อนชาวบ้านเค้าด้วย

ส่วนวิธีดูตารางนี้ ง่ายมากครับ แค่ดูว่า Key หรือ Spellcasting Abilities ของคลาสไหนมีความเหมือนกันมากๆ คลาสเหล่านั้นก็เหมาะที่จะเอามาผสม Multiclass กันแค่นั้นครับ ... เช่นถ้าเราเล่น Paladin/Bard ก็ควรจะอัพ Cha ให้เยอะๆ เพราะทั้งสองคลาสนี้ได้ประโยชน์จากค่านี้เยอะมากเหมือนกัน ส่วนค่าอื่นๆก็แล้วแต่สไตล์การเล่นของเราครับ ถ้าเราเล่นเกราะหนักจาก Paladin ก็ไม่ต้องอัพ Dex ไปใส่ให้ Str และ Con แทนประมาณนี้ครับ

REFERENCES
สำหรับคนที่อ่าน ENG ได้ สามารถเข้าไปอ่านรายละเอียดในเว็ป Wiki ที่ผมเอาข้อมูลอ้างอิงมาศึกษาได้ตามลิงค์ด้านล่างเลยครับ
จำนวน Spell Slots ของการ Multiclass
อันนี้ผมแยกออกมาจากพื้นฐานเพราะมันเป็นเรื่องละเอียดยิบย่อยนิดนึงครับ ถ้ามือใหม่ฝึก Multiclass อาจจะไม่ต้องดูรายละเอียดตรงนี้มากก็ได้ ข้ามไปหมวดถัดไปได้เลย ... แต่สำหรับคนที่อยากรู้เรื่อง Spell Slot ที่จะได้จากการ Multiclass นั้น ผมจะอธิบายคร่าวๆไว้ตรงนี้ครับ

1. รู้จักประเภทของ Casters กันก่อน
ผู้ใช้เวทย์มนต์ หรือ Casters ของเกมนี้ จะแบ่งได้ 4 ประเภทครับ นั่นก็คือ
  • Full Casters - คือนักเวทย์แบบใช้เวทย์เต็มตัว ได้แก่คลาส Bard, Cleric, Druid, Sorcerer, และ Wizard
  • Half Casters - คือคลาสสายอื่นที่ไม่ใช่นักเวทย์แต่สามารถใช้เวทย์มนต์ได้ ได้แก่คลาส Paladin และ Ranger
  • One-third Casters - คือคลาสสายอื่นที่ไม่ใช่นักเวทย์แต่สามารถใช้เวทย์มนต์ได้เล็กน้อย ได้แก่คลาส Fighter (Subclass: Eldritch Knight) และ Rogue (Subclass: Arcane Trickster)
  • Pact Magic Casters - คือผู้ใช้เวทย์มนต์พันธะสัญญา หรือก็คือ Warlock นั่นเอง ... จริงๆ เค้านับรวม Warlock เป็น Full Casters นะครับ แต่ผมแยกออกมาให้เพราะระบบ Spell Slot แตกต่างจากชาวบ้านเค้า

โดยชื่อของ Casters แต่ละแบบก็จะอธิบายความเกี่ยวข้องของ Spell Slot ได้ชัดเจนครับ คือ Full Caster จะสามารถเพิ่ม Slot เวทย์ได้ในทุกๆเลเวลตามตารางด้านล่าง ได้สูงสุดที่ผมวงกรอบสีเหลืองอันล่างสุด ... Half Casters จะเพิ่ม Slot เวทย์ในทุกๆ 2 เลเวลตามตารางด้านล่าง ได้สูงสุดที่ผมวงกรอบสีเหลืองอันกลาง (เหลือครึ่งนึง) ... และ One-third Casters จะเพิ่ม Slot เวทย์ในทุกๆ 3 เลเวลตามตารางด้านล่าง ได้สูงสุดที่ผมวงกรอบสีเหลืองอันบนสุด (เหลือ 1 ใน 3) ... ในส่วนของ Pact Magic หรือ Warlock จะมี Slot เวทย์แค่ 2 ช่องเท่านั้น แต่จะอัพเป็นเวลสูงขึ้นในทุกๆ 2 เลเวล โดยจะตันที่เวทย์เลเวล 5 เท่านั้น แต่ข้อดีคือสามารถฟื้น Slot เวทย์ได้หลัง Short Rest ครับและเวลาใช้เวทย์มันจะ Upcast ให้เป็นเลเวลสูงสุดตาม Slot ที่เรามีเสมอ

2. รู้จักหลักการรวม ESL (Effective Spellcaster Level) ของการ Multiclass
อันนี้ถ้าจะเอาง่ายๆไม่ได้ลงลึกเกินไปเพื่อให้เข้าใจได้สะดวก คือ เราต้องหา ESL ของบิ้วเราแล้วเอาไปดูในตารางครับ โดย ESL ที่เราจะคำนวณสำหรับ Casters แต่ละแบบจะเป็นดังนี้
  • Full Casters ESL - เอาจำนวนเลเวลคลาสนั้น หารด้วย 1 แล้วปัดลง ... เพื่ออะไรหว่า? ก็คือจำนวนเวลของคลาสนั้นแหละครับ 555 เช่น Cleric เวล 6 ก็จะมี ESL = 6 เลย
  • Half Casters ESL - เอาจำนวนเลเวลคลาสนั้น หารด้วย 2 แล้วปัดลง ... เช่น ถ้าอัพ Paladin ไว้ 5 เวล จะมี ESL = 5/2 = 2.5 = 2
  • One-third Casters ESL - เอาจำนวนเลเวลคลาสนั้น หารด้วย 3 แล้วปัดลง ... เช่น ถ้าอัพ Fighter Eldritch Knight ไว้ 5 เวล จะมี ESL = 5/3 = 1.67 = 1

พอได้ค่า ESL ของทุกคลาสแล้วก็เอามารวมกันแล้วดูที่ตารางได้เลยครับ คุณจะได้จำนวน Slot เวทย์ของบิ้วคุณ ยกตัวอย่างเช่น

กรณีที่ผมอัพ Paladin5/Cleric7 จะมี ESL = 2+7 = 9 หรือถ้าผมอัพเป็น Paladin6/Cleric6 จะมี ESL = 3+6 = 9 ก็จะมี Slot เวทย์เท่ากันตามรูปครับ

ก็หวังว่าตรงนี้จะเป็นข้อมูลให้กับคนที่อยากรู้ว่าบิ้วเราจะมี Slot เวทย์ถึงเวลไหนได้ไม่มากก็น้อยนะครับ ถ้าติดหรือสงสัยตรงไหนก็สอบถามผมได้เลย ไม่ต้องเกรงใจฮะ


REFERENCES
สำหรับคนที่อ่าน ENG ได้ สามารถเข้าไปอ่านรายละเอียดในเว็ป Wiki ที่ผมเอาข้อมูลอ้างอิงมาศึกษาได้ตามลิงค์ด้านล่างเลยครับ
หลักการจัดบิ้วแบบ Multiclass
เอาล่ะ พอเรารู้เรื่องพื้นฐานที่จำเป็นแล้ว ตอนนี้ก็มาเข้าสู่กระบวนการจัดบิ้วแบบคร่าวๆกันครับ เพราะอย่างน้อยคุณควรจะต้องรู้หลักคร่าวๆบางอย่างให้พอจับจุดได้ก่อน

1. Level รวมของตัวละครจะเท่ากับทุกคลาสรวมกัน และสูงสุดที่ 12
ใช่ครับ พื้นฐานแรกคือ Max เลเวลปัจจุบันคือ 12 และคลาสแต่ละคลาสที่เราเลือกมาจะอัพแยกกัน หรือก็คือ การ Multiclass ไม่ว่าจะใช้กี่คลาส จะบวกกันได้ไม่เกิน 12 เท่านั้นครับ จริงๆอันนี้ไม่ต้องบอกก็น่าจะพอรู้กันอยู่แล้ว แต่กับคนที่ไม่เคยเล่น Multiclass อันนี้เป็นเรื่องพื้นฐานที่ต้องเข้าใจไว้ก่อนครับ

2. ศึกษาสกิลหรือเวทย์หลักที่เราจะใช้ในบิ้วของเรา
เช่น ถ้าผมบอกว่าผมอยากได้สายประชิดที่โจมตีธาตุแสงได้แรงๆ สิ่งที่ผมจะมุ่งไปหาก่อนเลยก็คือสกิล Divine Smite ของ Paladin ที่จะได้มาตอนคลาสเลเวล 2 ... หรือ ถ้าอยากบิ้วนักเวทย์ที่ยิงเวทย์สายฟ้าได้แรงๆ ผมก็จะมุ่งเป้าไปที่เวทย์อย่าง Call Lightning หรือ Chain Lightning จากคลาส Sorcerer หรือ Wizard ... อย่างน้อยถ้าคุณมีโจทย์ของคุณอยู่ คุณก็สามารถหาคำตอบที่คุณต้องการได้ครับ ... แต่สำหรับมือใหม่ที่ยังไม่รู้จักสกิล Action ในเกมนี้มากนักอาจจะลำบากหน่อย ผมแนะนำให้หาอ่านจากใน Wiki หรือสอบถามผู้รู้เพิ่มเติมเอาก็ได้ครับ

3. ศึกษาหาสกิลและ Feat ที่จะเอามาเพิ่มความสามารถของสกิลหรือเวทย์หลักในข้อ 2
เมื่อคุณได้สกิลที่คุณชื่นชอบแล้ว ทีนี้ก็ต้องมาหาสกิลอื่นๆของคลาสอื่นๆ(หรือคลาสเดิม)ที่ใช้งานกับสกิลหลักของเราในข้อ 2 ได้ ... เช่น ในข้อ 2 ถ้าผมอยากให้เวทย์สายฟ้าของผมแรงขึ้น ผมจำเป็นต้องมีสกิล Destructive Wrath ของ Tempest Cleric เวล 2 เพื่อสามารถให้เราใช้แต้ม Channel Divinity บังคับให้เวทย์เราติด Max Damage ได้ หรืออย่างเช่นถ้าคุณเล่นสาย Monk ที่เน้นใช้กำปั้นกังฟูเป็นหลัก Feat ที่จะขาดไปไม่ได้เลยก็คือ Tavern Brawler ที่จะบวกโบนัสจาก Str ในการโจมตีด้วยมือเปล่าให้เรา เป็นต้น

4. นำคลาสแต่ละอันที่เราต้องการสกิลมาผสมรวมกัน
อันนี้แหละครับคือ หัวใจการ Multiclass และขั้นตอนที่ยากที่สุด เพราะข้อจำกัดเลเวลตันแค่ 12 ดังนั้น คุณจะต้องรู้ว่าคุณจะอัพคลาสไหนเท่าไหร่เพื่อเอาสกิลที่คุณต้องการ เช่น ถ้าผมอยากใช้เวทย์สายฟ้า Chain Lightning ที่เป็นเวทย์เลเวล 6 นั้น ผมจะต้องมี Wizard หรือ Sorcerer เลเวล 11 เท่านั้นถึงจะมีโอกาสเลือกเวทย์นั้นได้ แต่ผมเองยังต้องการ Tempest Cleric เวล 2 เพื่อเอาสกิล Destructive Wrath อยู่ ดังนั้นมันจะรวมกันเกิน 12 ... แต่เนื่องจาก Wizard, Sorcerer, และ Cleric เป็น Full Caster เหมือนกัน หรือก็คือ ถ้าผสมกันยังไงก็ได้ Slot เวทย์เลเวล 6 ผมจึงอาจจะอัพ Wizard แค่ 1 เลเวลเพื่อให้สามารถเรียนเวทย์จาก Scroll ได้แค่นั้น แล้วหันไปอัพ Cleric 2 เพื่อเอาสกิล แล้วต่อด้วย Sorcerer ยาวๆอีก 9 เลเวลเพื่อเอาผลประโยชน์จาก Metamagic ... ดังนั้น เราก็จะได้บิ้ว Wizard1/Cleric2/Sorcerer9 เป็นบิ้วผสมลงตัวตามที่เราต้องการครับ

อันนี้เป็นแค่ตัวอย่างแนวคิดนะครับ อย่างในบิ้ว 001 ผมทุกคนจะเห็นว่าผมอัพ Wizard2/Cleric2/Sorcerer8 แทน เพราะผมอยากได้สกิล Sculpt Spells จาก Evocation Wizard ด้วย ผมเลยจัดแบบนั้น แต่ถ้าคุณบอกว่า คุณอยากได้ Sorcery Point มากขึ้น 1 แต้ม ก็จัดเป็น Wizard1/Cleric2/Sorcerer9 แทนครับ เริ่มเห็นภาพกันแล้วสินะ

อ่ะ ทีนี้คงมีหลายคนสงสัยว่า ... แล้วผมจะรู้ได้ยังไงครับ ว่าสกิลไหนของคลาสไหนเหมาะมีประโยชน์อะไรบ้าง ข้อมูลนี้ผมจะทำไว้ในส่วนของ Milestones ของแต่ละคลาสให้อ่านกันนะครับ

5. ศึกษาหาอุปกรณ์หรือไอเท็มที่จะเอามาเพิ่มความสามารถของสกิลหรืออุดจุดอ่อนของเรา
อีก 1 ปัจจัยที่ขาดไม่ได้เลยสำหรับการทำบิ้ว นั่นก็คือ อุปกรณ์สวมใส่ครับ บางบิ้วนี่เรียกได้ว่า ถ้าไม่มีของบางอย่างคือความเก่งลดลงครึ่งนึงเลยก็ว่าได้นะ ดังนั้น อุปกรณ์สวมใส่มีผลนะครับ จะมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับว่าบิ้วนั้นคุณจะมีไอเท็มคอยเสริมให้ได้เหมาะสมมากน้อยขนาดไหน

เริ่มเยอะแล้วใช่มั๊ยล่ะครับ สำหรับมือใหม่ นอกจากจะต้องมานั่งศึกษาสกิลทั้งหลายในเกมแล้ว ยังต้องมานั่งศึกษาของที่จะใส่อีกเหรอเนี่ย ... แน่นอนครับ เป็นกระบวนการที่ขาดไปไม่ได้เลย เพราะบิ้วเราจเก่งไม่เก่ง จะสุดไม่สุดยังไงก็ต้องมีเรื่องอุปกรณ์มาเกี่ยวข้องแน่นอนครับ ... แต่มันมีหลักการเล็กๆอยู่ คือ ของบางประเภทเช่น รองเท้า หรือ ผ้าคลุม จะมีอันที่มีประโยชน์มากๆสำหรับทุกบิ้วอยู่ไม่กี่อัน เราก็เลือกจากกลุ่มนั้นเอาก็ได้ครับ แต่ผมอยากให้คิดแบบนี้นะ ... อย่าคิดว่าเรามาดูข้อมูลศึกษาอุปกรณ์ คิดซะว่าเรามาดูข้อมูลก่อนไปช็อปปิ้งซื้อของอันนั้นเอาดีกว่าครับ แรกๆอาจจะยาก แต่พอทำเป็นแล้ว ผมบอกเลยสนุกอยู่นะ 5555+

REFERENCES
สำหรับคนที่อ่าน ENG ได้ สามารถเข้าไปอ่านรายละเอียดในเว็ป Wiki ที่ผมเอาข้อมูลอ้างอิงมาศึกษาได้ตามลิงค์ด้านล่างเลยครับ
คำอธิบายของหลักการ Milestones
อันนี้จะเป็นการอธิบายสั้นๆเกี่ยวกับสิ่งที่ผมเรียกว่า Milestones ที่จะกล่าวถึงในแต่ละคลาสและ Subclass นะครับ ... Milestones ก็คือหลักกิโลนั่นเอง ... ไม่ใช่ละ ในที่นี้คือเลเวลที่เราต้องอัพไปให้ถึงเพื่อเอาสกิลจำเป็นหรือสกิลดีๆบางอย่าง เช่น Paladin เลเวล 2 ก็จะทำให้คุณได้ Divine Smite มาใช้ แต่ถ้าคุณอยากได้สกิล Aura of Protection มาไว้เปิดบัฟ Saving Throw ให้เพื่อนๆด้วย คุณก็ต้องอัพ Paladin ไปจนถึงเวล 6 ... ก็ประมาณนี้ครับ โดยผมจะอธิบาย Milestones ของแต่ละคลาสหลักและ Subclass คร่าวๆและให้คะแนนจากคะแนนเต็ม 10 โดยออกความเห็นของผมเองนะครับ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับความนิยมทั่วโลกอะไรแต่อย่างใด ถ้าใครมีความเห็นแตกต่างไปก็สามารถพูดคุยแลกเปลี่ยนกันได้เลยนะครับ เพราะผมเองก็ไม่ได้เป็น Expert ยังมีอะไรที่ต้องเรียนรู้อีกเยอะ 555+

อ่อ อีกอย่างผมจะอธิบายแต่ Class Feature นะครับ ไม่ลงลึกอธิบายเรื่อง Feat, Fighting Styles, พวก Charges ต่างๆ, และเวทย์ที่เราจะได้นะ ไม่งั้นปีหน้าก็ไม่เสร็จครับ รายละเอียดมันจะล้นโลกกันไปเลย ... ว่าแล้วอย่าเสียเวลา ใครสนใจคลาสไหน ลงไปดูกันได้เลยครับผม

Milestones ของ Barbarian (Part 1)
1. Barbarian (Main)
คลาสคนเถื่อนนี้จะเน้นการวิ่งเข้าไปเปิด Rage เพื่อต่อสู้กับศัตรู เน้นเพิ่มความสามารถในการต่อสู้โดยไม่ใส่เกราะหนักและเน้นโจมตีด้วยพละกำลังทุกรูปแบบ


Milestones
  • Level 1 - Rage (8/10) - เปิดโหมด Rage เพื่อเพิ่มป้องกันดาเมจทางกายภาพ, เพิ่มดาเมจอาวุธ และ Advantage สำหรับ Str Saving Throw ได้เป็นเวลา 10 เทิร์น ... เป็นสกิลที่เหมาะมากกับคนที่เล่นคลาสนี้แบบไม่ใส่เกราะหนักครับ
  • Level 1 - Unarmoured Defence (6/10) - เมื่อคุณไม่ได้ใส่เกราะ คุณจะได้โบนัส AC จาก Con Modifier เพิ่มด้วย ... ถือว่าดีครับ แต่ผมมองว่าดีสำหรับช่วงแรกๆเท่านั้น เราะพอเรามีเกราะ Medium ดีๆแล้ว สกิลนี้ก็ไม่ได้ใช้งานแล้วครับ นอกจากคุณจะไม่ใส่เกราะตลอดทั้งเกม
  • Level 2 - Reckless Attack (7/10) - โจมตีศัตรูด้วยอาวุธประชิดแล้วติด Advantage ตลอดทั้งเทิร์น ถือว่าดีมากๆครับ แต่มีข้อเสียคือศัตรูจะได้ Advantage ในการโจมตีเราด้วย
  • Level 2 - Danger Sense (5/10) - เราจะได้ Advantage ของ Dex Save เมื่อโดนกับดัก, เวทย์มนต์ หรือ พื้นผิวติดธาตุต่างๆ เมื่อไม่ได้ติดสถานะตาบอด ... ใช้ได้ดีในบางสถานการณ์แต่ไม่ได้มีประโยชน์มากเท่าไหร่ ถือว่าเป็นของแถมครับ
  • Level 5 - Extra Attack (10/10) - โจมตีได้ 2 ครั้งต่อ 1 Action Point อันนี้แน่นอนครับ ของจำเป็นสำหรับสายโจมตีเลย
  • Level 5 - Fast Movement (6/10) - เมื่อไม่ใส่เกราะจะเดินได้ไกลขึ้น 1.5 เมตร
  • Level 7 - Feral Instinct (8/10) - ได้ +3 Initiative และไม่สามารถโดน Surprised ได้ ... เรียกได้ว่าเป็น Alert แบบ Downgrade ก็ได้ครับ
  • Level 9 - Brutal Critical (6/10) - เมื่อเราติดคริ จะสามารถโรลดาเมจเพิ่มได้อีกเท่ากับเต๋าดาเมจ 1 ลูก ... เป็นสกิลที่ดี แต่ต้องอัพมาไกลกว่าจะได้ แถมมีผลแค่ตอนติดคริเท่านั้นด้วย
  • Level 11 - Relentless Rage (3/10) - ในระหว่าง Rage ถ้าเราเลือดหมด เราจะเหลือเลือดไว้ 1 หน่วยแทนที่จะติดสถานะ Downed ใช้ได้ 1 ครั้งต่อ 1 Short Rest ... อันนี้คือไม่สมกับเป็นสกิลเวลลึกๆเลยครับ เพราะไร้ประโยชน์สุดๆ

2. Subclass: Berserker
นักรบผู้บ้าคลั่ง ที่เน้นการโจมตีศัตรูเพิ่มด้วย Bonus Action


Milestones เพิ่มจากคลาส Main
  • Level 3 - Frenzy (8/10) - เปลี่ยนโหมด Rage ให้เป็น Frenzy และจะทำให้เราได้สกิลมาอีก 2 อันระหว่างใช้
  • Level 3 - Frenzied Strike (5/10) - โจมตีระยะประชิดด้วย Bonus Action ระหว่าง Frenzy ได้ 1 ครั้ง / 1 เทิร์น แต่มีข้อเสียคือจะทำให้เราติดเหนื่อยและตีพลาดบ่อยขึ้นเรื่อยๆ ไม่ค่อยมีประโยชน์มากเท่าไหร่ครับ
  • Level 3 - Enraged Throw (10/10) - ขว้างอาวุธ สิ่งของ หรือแม้กระทั่งศัตรู และได้โบนัสดาเมจเพิ่มจาก Str Modifier ด้วย เป็นสกิลที่สายขว้างทุกคนต้องมีเลยครับ
  • Level 6 - Mindless Rage (8/10) - เมื่ออยู่ใน Frenzy เราจะไม่สามารถติด Charmed หรือ Frightened ได้ และเวทย์ Calm Emotion จะไม่ทำให้เราหลุดโหมดด้วย ... เป็นอีกสกิล Passive สายป้องกันที่ดีครับ ถึงแม้จะไม่ได้มีโอกาสใช้เท่าไหร่ก็ตาม
  • Level 10 - Intimidating Presence (2/10) - ใช้ Action Point ทำให้ศัตรูติดสถานะ Fear ได้ แต่ถ้าพลาดจะไม่สามารถใช้กับศัตรูตัวนั้นได้อีก และในเทิร์นถัดไปเราสามารถใช้ Maintain Intimidating Presence ทำให้ศัตรูกลัวนานขึ้นได้ ... เมื่อคิดว่ามันเป็นสกิลที่กว่าจะได้มาก็เวล 10 แล้ว แถมยังใช้ Action Point ด้วย ไร้ประโยชน์มากๆครับ 555+

3. Subclass: Wildheart
นักรบหัวใจสัตว์ป่า เน้นการเพิ่มรูปแบบโบนัสและการโจมตีตามสัตว์ป่าที่เราเลือก


Milestones เพิ่มจากคลาส Main
  • Level 3 - Bestial Heart (9/10) - เลือกหัวใจสัตว์ป่ามา 1 อย่าง จากทั้งหมด 6 อัน โดยจะมีโบนัสจากโหมด Rage และท่าโจมตีที่ได้แตกต่างกันไป ... ตรงนี้ผมขออนุญาตไม่อธิบายแต่ละอย่างนะครับ สามารถอ่านได้จาก Tooltip ในเกมหรือใน Wiki ดูได้เลยครับ (REF: https://bg3.wiki/wiki/Wildheart#Level_3)
  • Level 6 - Animal Aspect (7/10) - เลือกโบนัสจากรูปแบบสัตว์ป่า 1 อย่างจากทั้งหมด 10 อัน เช่นเดิมครับ ยาวแน่ๆถ้าลงละเอียดกว่านี้ 5555 (REF: https://bg3.wiki/wiki/Wildheart#Level_6)
  • Level 8 - Land's Stride: Difficult Terrain (3/10) - พื้นที่แบบ Difficult Terrain จะไม่ทำให้คุณเคลื่อนที่ช้าลง ... มีประโยชน์ในบางสถานการณ์ครับ แต่เวล 8 เพื่อให้ได้อันนี้ก็ไม่คุ้มนะ
  • Level 10 - Animal Aspect (2/10) - เลือก Animal Aspect เพิ่มอีก 1 อัน ไม่คุ้มอย่างยิ่งครับ

4. Subclass: Wild Magic
นักรบป่าผู้ใช้พลังเวทย์ดิบ สำหรับผู้ชื่นชอบการโจมตีและได้สุ่มกาชาไปด้วย ว่าจะได้โบนัสแบบไหน โดยส่วนใหญ่เป็นเวทย์ที่เพิ่มดาเมจ Force เข้าไปในการโจมตี


Milestones เพิ่มจากคลาส Main
  • Level 3 - Rage: Wild Magic (8/10) - สำหรับผู้ชื่นชอบความตื่นเต้นในการสุ่มกาชา การเข้าโหมด Rage จะทำให้คุณได้บัฟสุ่มจาก Wild Magic มา 1 อย่าง (จากทั้งหมด 8 อย่าง) ... สำหรับใครที่อยากรู้ว่าแต่ละอย่างมีอะไรบ้างหาอ่านจาก REF ได้เลยครับ (REF: https://bg3.wiki/wiki/Wild_Magic_(barbarian_subclass)#Wild_Magic_Effects)
  • Level 3 - Magic Awareness (7/10) - ทุกๆคนในระยะ 3 เมตรจะได้โบนัสจากค่า Proficiency ไปเพิ่มให้กับ Saving Throw เมื่อโดนโจมตีด้วยเวทย์มนต์ ... เกือบจะดีอยู่แล้วถ้าไม่ติดว่าศัตรูก็ได้ผลไปด้วยและต้องใช้ Bonus Action
  • Level 6 - Bolstering Magic: Boon (6/10) - เพิ่มโบนัส 1-4 แต้มสำหรับ Attack Roll และ Ability Checks ให้เราหรือเพื่อนเป็นเวลา 10 เทิร์น ... เฉยๆนะครับ เพราะใช้ Action Point และใช้ได้แค่ 1 ครั้ง / 1 Long Rest
  • Level 6 - Bolstering Magic: Level 1 Spell Slot (8/10) - ใช้ Action Point ฟื้น Slot เวทย์เวล 1 ให้เราหรือเพื่อนได้ 1 ครั้ง / 1 Long Rest ... ถือเป็นของดีถ้าเรามีเพื่อนที่เป็นนักเวทย์อยู่ในทีมครับ
  • Level 6 - Bolstering Magic: Level 2 Spell Slot (8/10) - ใช้ Action Point ฟื้น Slot เวทย์เวล 2 ให้เราหรือเพื่อนได้ 1 ครั้ง / 1 Long Rest
  • Level 9 - Bolstering Magic: Level 3 Spell Slot (7/10) - ใช้ Action Point ฟื้น Slot เวทย์เวล 3 ให้เราหรือเพื่อนได้ 1 ครั้ง / 1 Long Rest
  • Level 10 - Unstable Backlash (8/10) - เมื่อเราโดนดาเมจหรือพลาด Saving Throw จะสามารถใช้ Reaction สุ่มเอฟเฟ็ค Wild Magic อันใหม่มาแทนอันเก่าได้ ... ดีมากสำหรับการเปลี่ยนบัฟ Wild Magic เพราะเราสามารถตั้งค่าให้ถามเราก่อนใช้ได้ เผื่อในกรณีได้บัฟที่ไม่ต้องการมาตอนเข้า Rage ก็สามารถเปลี่ยนได้ด้วยสกิลนี้
Milestones ของ Barbarian (Part 2)
5. Patch 8 New Subclass: Giant
นักรบเถื่อนสายแปลงร่างเป็นยักษ์ เน้นถีบเน้นขว้างอาวุธอะไรก็ได้และเลือกเพิ่มดาเมจธาตุได้ตามใจชอบ


Milestones เพิ่มจากคลาส Main
  • Level 3 - Giant's Rage (9/10) - เปลี่ยนโหมด Rage ให้เป็น Giant's Rage ที่จะขยายร่างเราให้ใหญ่โตขึ้นแบบได้ Enlarge ฟรี แต่ที่เด็ดจริงๆคือ การได้ดาเมจตอนขว้างเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่านี่แหละ ทำให้สายขว้างของได้ของเล่นใหม่ไปลองกันเลยทีเดียว
  • Level 3 - Vaprak's Greed (7/10) - Passive ที่จะเพิ่มน้ำหนักที่เราถือได้อีก 1 ใน 4 หรือก็คือ 25% นับว่าเป็นของดีเพราะเราจะเป็นยักษ์ไปทำไม ถ้าแบกน้ำหนักของเพิ่มไม่ได้ จริงมั๊ย
  • Level 5 - Boot of the Giants (9/10) - ใช้ Bonus Action ในการถีบศัตรูให้กระเด็นได้ แต่ความดีงามคือ ทำดาเมจแบบ Unarmed ทำให้ได้ประโยชน์จากสกิลที่เพิ่มดาเมจมือเปล่าทั้งหลายด้วย และสามารถถีบศัตรูที่มีน้ำหนักมากกว่าการผลักธรรมดาได้ถึง 2 เท่า แต่เพราะมันเป็นการผลัก เลยต้องมีการโรล Athletics เช๊คด้วยเช่นกัน ถือเป็นสกิลที่ดีครับ เพราะสกิลนี้สามารถใช้ได้ไม่ว่าจะตอนปกติหรือตอนที่อยู่ใน Rage ทำให้มีสกิลใช้ Bonus Action ทำดาเมจเพิ่มมาให้เลือกใช้แทนผลักธรรมดาเลย
  • Level 6 - Elemental Cleaver (10/10) - อันนี้นับเป็น Milestone ที่ต้องมาให้ถึงตอนเล่น Giant เลย เพราะจะทำให้อาวุธหลักที่ถืออยู่ ณ ตอนนั้น ได้ดาเมจธาตุที่เลือกเพิ่มขึ้น 1-4 หน่วย แถมยังทำให้อาวุธนั้นได้สถานะ Throwable และกลับเข้ามืออัตโนมัติแบบ Homing Weapon ด้วย ดังนั้น ถ้าคุณมีอาวุธอะไรก็ตามที่ Base ดาเมจดีๆ ก็เอามาติด Elemental Cleaver เพื่อให้ได้ความสามารถพวกนี้มา และใช้ขว้างได้เรื่อยๆเลยครับ อารมณ์คล้ายๆ Eldritch Knight ขว้าง Bind Weapon เลย แต่ของ Giant ต้อง Rage ก่อนและขว้างได้แรงกว่ามากครับ
  • Level 10 - Mighty Impel (5/10) - ใช้ Bonus Action ในการขว้างสิ่งมีชีวิตไซส์ Small ถึง Medium ได้ โดยขว้างได้ถึง 9 เมตรแบบไม่สนค่า Str ทำให้สามารถขว้างศัตรูได้ไกลกว่าปกติ ... แต่การอัพมาจนเลเวลนี้เพื่อเอาสกิลนี้อาจจะไม่คุ้มค่ามากนัก เพราะ Berserker เองก็สามารถใช้สกิล Enraged Throw ที่ใช้ Bonus Action และให้ผลคล้ายกันนี้ได้ตั้งแต่เลเวล 3 เลย แถม Giant ก็มีท่า Boot of the Giants ที่ใช้ Bonus Action อยู่แล้ว ทำให้คุณต้องเลือกใช้อันใดอันนึง เลยมองว่าไม่คุ้มค่าเท่าที่ควรครับ
Milestones ของ Bard
1. Bard (Main)
นักกวีผู้ชื่นชอบการเจรจา ด่าทอ และเสียงดนตรี มีความสามารถรอบด้านทั้งเวทย์มนต์และการใช้อาวุธโจมตี


Milestones
  • Level 1 - Bardic Inspiration (9/10) - ใช้แต้ม Bardic Inspiration Charges บัฟเพื่อนเพิ่มโบนัส 1-6 แต้ม สำหรับ Attack Roll, Ability Check, หรือ Saving Throw ในการใช้ครั้งถัดไป ... เป็นของดีมากๆครับสำหรับคลาสนี้ ทั้งเท่ห์ทั้งดีเลย
  • Level 2 - Song of Rest (10/10) - สกิลนี้เทียบเท่ากับการ Short Rest 1 ครั้ง ... หรือก็คือคุณสามารถ Short Rest เพิ่มได้ 1 ครั้งนั่นเอง ดีสุดๆเลย
  • Level 2 - Jack of All Trades (9/10) - เพิ่มค่า Proficiency ครึ่งนึง (ปัดลง) ให้กับ Ability Checks ที่คุณไม่ได้มีความชำนาญ ... เป็นโบนัสเพิ่มที่คุ้มค่ามากครับ ทำให้เราสามารถผ่านสกิลเช๊คในสายที่เราไม่ได้ถนัดได้ง่ายขึ้น
  • Level 5 - Font of Inspiration (9/10) - ทำให้เราสามารถฟื้นค่า Bardic Inspiration Charges ได้หลังจาก Short Rest (ปกติ Long Rest) ... ถือว่าดีมากเราะจะทำให้เราใช้ Bardic Inspiration ได้มากกว่าเดิมถึง 3 เท่าเลย
  • Level 5 - Improved Bardic Inspiration (7/10) - ปรับเต๋าของ Bardic Inspiration เป็นเต๋า 8 แต้ม (โบนัส 1-8 แต้ม)
  • Level 6 - Countercharm (6/10) - ตั้งวงเพิ่มโบนัสให้เราและเพื่อนในระยะ 9 เมตรได้ Advantage เวลา Saving Throw จากสถานะ Charmed และ Frightened เป็นเวลา 3 เทิร์น ... ถือว่าเป็นสกิลป้องกันที่ดี แม้จะไม่ค่อยได้ใช้ก็ตาม
  • Level 10 - Improved Bardic Inspiration (7/10) - ปรับเต๋าของ Bardic Inspiration เป็นเต๋า 10 แต้ม (โบนัส 1-10 แต้ม)
  • Level 10 - Magical Secrets (10/10) - เลือกเวทย์จากคลาสอื่นๆที่ Bard ไม่มีได้ 2 อย่าง ... อันนี้คือดีจัดๆ เพราะเราสามารถเลือกเวทย์ได้จากนักเวทย์แทบทุกคลาสเลย ถ้าอยากรู้ว่ามีอะไรบ้างสามารถดูได้จาก https://bg3.wiki/wiki/Magical_Secrets เลยครับ

2. Subclass: College of Lore
นักกวีสายเวทย์ ผู้เน้นการร่ายเวทย์และด่าศัตรูจนตาย


Milestones เพิ่มจากคลาส Main
  • Level 3 - Cutting Words (5/10) - ใช้ Reaction ในการดีบัฟศัตรู ทำให้ Attack roll, Ability check หรือ Saving throw ลดลง 1-6 หน่วย ... เหมาะกับคนที่ชอบด่าให้ศัตรูหมดกำลังใจครับ
  • Level 6 - Magical Secrets (8/10) - เลือกเวทย์ไม่เกินเวล 3 จากคลาสอื่นๆที่ Bard ไม่มีได้ 2 อย่าง ... เหมือนกับของคลาสหลักตอนเวล 10 แต่เลือกเวทย์ได้ถึงแค่เวล 3 เท่านั้นครับ ถ้าอยากรู้ว่ามีอะไรบ้างสามารถดูได้จาก https://bg3.wiki/wiki/Magical_Secrets

3. Subclass: College of Valour
นักกวีสายบัฟเพื่อนและเน้นป้องกัน สามารถถือโล่ ใส่เกราะ Medium และโจมตี 2 ครั้งได้


Milestones เพิ่มจากคลาส Main
  • Level 3 - Combat Inspiration (9/10) - ปรับ Bardic Inspiration ให้สามารถเพิ่มโบนัสให้ Damage หรือ AC ได้ ... เป็นของดีสำหรับการบัฟเพื่อนครับ
  • Level 6 - Extra Attack (10/10) - โจมตีได้ 2 ครั้งต่อ 1 Action Point อันนี้แน่นอนครับ ของจำเป็นสำหรับสายโจมตีเลย

4. Subclass: College of Swords
นักกวีแห่งสำนักดาบที่เน้นการโจมตีด้วยอาวุธเป็นหลัก


Milestones เพิ่มจากคลาส Main
  • Level 3 - Blade Flourish (10/10) - สามารถใช้ท่ารำดาบ(หรือธนู)ทั้ง 3 แบบได้ คือ Defensive Flourish สำหรับเพิ่ม AC+4 หลังโจมตีโดน, Slashing Flourish สำหรับโจมตีศัตรูได้ 2 ตัวพร้อมกัน, และ Mobile Flourish สำหรับผลักศัตรูให้กระเด็นออกไปแล้ววาร์ปตามได้ ... เป็นสกิลเด็ดที่เหมมาะกับการใช้โจมตีทุกรูปแบบเลยครับ ใครเล่นคลาสนี้แบบใช้อาวุธควรต้องมีเลย (REF: https://bg3.wiki/wiki/Blade_Flourish)
  • Level 6 - Extra Attack (10/10) - โจมตีได้ 2 ครั้งต่อ 1 Action Point อันนี้แน่นอนครับ ของจำเป็นสำหรับสายโจมตีเลย

5. Patch 8 New Subclass: College of Glamour
นักกวีพราวสเน่ห์ ผู้เน้นการบัฟเพื่อนและกล่อมศัตรูให้หลงสเน่ห์อันเกินต้านของเรา


Milestones เพิ่มจากคลาส Main
  • Level 3 - Mantle of Inspiration (6/10) - ใช้ Bonus Action และ Bardic Inspiration 1 แต้ม เพิ่มเลือดชั่วคราว 5 หน่วยให้กับเพื่อนเรา 2 คน หากเพื่อนเราโดนศัตรูโจมตีใส่ในระยะใกล้ ศัตรูตัวนั้นจะติดสถานะ Charmed 1 เทิร์น ... ดูเหมือนจะดี แต่แท้จริงคือ อิหยังวะมากครับ ตอนต้นเกมอาจจะมีประโยชน์บ้างเล็กน้อย แต่ในท้ายเกมที่ถ้าบิ้วกันโหดๆก็จบไฟท์ในเทิร์น 2 เทิร์นแล้วนี่ อันนี้แทบไม่ได้ใช้งานเลยล่ะ แต่ถ้าไปถึงเลเวล 6 หรือ 10 แล้ว จะเพิ่มจำนวนเลือดชั่วคราวและจำนวนเพื่อนที่ได้บัฟให้สูงสุดได้ 11 หน่วย 4 คน อันนี้ผมเลยให้คำแนนความป่วนอยู่ครับ 555+
  • Level 6 - Mantle of Majesty: Command (7/10) - ใช้ Bonus Action ร่าย Command ใส่ศัตรู ให้ผลหลักๆเหมือนเวทย์ Command เลยครับ แต่ต่างกันตรงที่จะติด Concentrate เป็นเวลา 10 เทิร์น และใน 10 เทิร์นนั้นจะร่ายซ้ำได้ในแต่ละเทิร์น และดีกว่า Command ปกติตรงที่สามารถใช้ใส่ Undead ได้ด้วย ... แต่ข้อเสียคือ ใช้ได้ 1 คร้ง / 1 Long Rest เลยมองว่าไม่คุ้มมากเท่าไหร่ครับ
Milestones ของ Cleric (Part1)
1. Cleric (Main)
นักบวชแห่งศาสนาที่นับถือเทพต่างๆในเฟย์รูน ผู้เชี่ยวชาญการใช้เวทย์ศักดิ์สิทธิ์และการฮีล ... เป็นคลาสที่เหมาะมากในการใช้เวทย์ฮีลหรือเวทย์ในการโจมตีด้วยพลังแห่งแสง(หรือความมืด)


Milestones
  • Level 2 - Turn Undead (8/10) - ใช้ Action Point และ Channel Divinity Charges ทำให้ศัตรูประเภท Undead ทุกตัวในระยะ 9 เมตรวิ่งหนีไปจากเรา ... เป็นสกิลที่ใช้ได้ดีตอนเจอศัตรูประเภทนี้เยอะๆครับ
  • Level 5 - Destroy Undead (8/10) - เมื่อคุณใช้ Turn Undead สำเร็จ ศัตรูจะโดนดาเมจแสง 4-24 หน่วยด้วย ... เป็นการทำให้ Turn Undead มีดาเมจด้วย ถือเป็นสกิลต่อสู้ศัตรูประเภทนี้ที่ดีอันนึงเลย
  • Level 10 - Divine Intervention (3/10) - สกิลที่ใช้ได้ครั้งเดียวต่อ 1 ตัวละคร มีให้เลือกทั้ง ทำดาเมจแสง 8-80 หน่วย, ชุบชีวิตและฮีลเพื่อนในทีมทุกคน, ได้ยาและ Camp Supply ซึ่งไม่มีประโยชน์อะไรมากนัก ยกเว้นอีกอันที่จะทำให้เราได้ Legendary Weapon Devotee's Mace มาถาวร ไม่งั้นสกิลนี้คงได้ 1 คะแนนจากผมแน่ๆ 555+

2. Subclass: Life Domain
บักบวชสายฮีล ที่สามารถใส่เกราะหนักได้ เน้นสกิลในการฮีลเพื่อนเป็นหมู่คณะเหมาะกับการเล่นซัพอย่างยิ่ง


Milestones เพิ่มจากคลาส Main
  • Level 1 - Disciple of Life (8/10) - เมื่อคุณใช้เวทย์ฮีล จะสามารถฮีลเพิ่มได้เท่ากับ 2+ระดับของเวทย์ฮีล หน่วย ... เป็นสกิลที่ดีแบบใช้ได้ตั้งแต่ต้นเกมยันจบเกมเลยครับ
  • Level 2 - Preserve Life (10/10) - ใช้ Action Point และ Channel Divinity Charges ในการฮีลหมู่เพื่อนในระยะ 9 เมตร เป็นจำนวนเท่ากับ 3xเลเวลของตัวละคร หน่วย ... นี่คือสกิลฮีลหมู่ที่ดีที่สุดในเกมครับ เพราะฮีลเป็นจำนวนหน่วยเลยไม่ได้ทอยเต๋า หรือก็คือถ้าตัวคุณเวล 12 คุณจะฮีลได้ 36 หน่วยทันที แถมนับเลเวลตัวละคร ไม่ใช่เลเวลของคลาสด้วย สายฮีลต้องไม่พลาดอันนี้ครับ
  • Level 6 - Blessed Healer (7/10) - เมื่อคุณใช้เวทย์ฮีล จะสามารถฮีลตัวเองได้เท่ากับ 2+ระดับของเวทย์ฮีล ... ถือเป็นสกิลที่ดีอีกหนึ่งอย่างสำหรับสายฮีลครับ
  • Level 8 - Divine Strike: Radiant (6/10) - เมื่อเราโจมตีศัตรู จะสามารถทำดาเมจแสงเพิ่มได้ 1-8 หน่วย ใช้ได้ 1 ครั้ง/ 1 เทิร์น ... ทำงานคล้ายๆ Divine Smite ครับแต่ไม่เสีย Slot เวทย์และเบากว่ามากๆ อาจจะดูไม่ค่อยคุ้มกับการที่ต้องอัพคลาสจนถึงเลเวล 8

3. Subclass: Light Domain
นักบวชแห่งแสงศักดิ์สิทธิ์ที่เน้นการโจมตีด้วยแสงเป็นหลัก มีสกิลและเวทย์โจมตีหมู่ด้วยดาเมจแสงและไฟเยอะมาก


Milestones เพิ่มจากคลาส Main
  • Level 1 - Warding Flare (9/10) - เมื่อศัตรูโจมตีโดนเรา เราสามารถใช้ Reaction ทำให้ศัตรูติด Disadvantage หรือก็คือโรลให้อีกรอบแล้วเอาค่าต่ำสุดนั่นเอง ... เป็นสกิลที่ดีมากเพราะได้ตั้งแต่เลเวลแรกและใช้ได้ในหลายๆสถานการณ์
  • Level 2 - Radiance of the Dawn (10/10) - ใช้ Action Point และ Channel Divinity Charges เพื่อทำดาเมจแสง 2-10 หน่วย + เลเวลตัวละคร ใส่ศัตรูทุกตัวในระยะ 9 เมตรที่ไม่มีที่กำบังจากแสง ... เป็นเวทย์ทำดาเมจวงกว้างที่ดีมากๆครับ
  • Level 6 - Improved Warding Flare (7/10) - ให้ผลเหมือน Warding Flare แต่ใช้ได้เวลาศัตรูโจมตีเพื่อนเราด้วย ... ก็ถือว่าดีใช้ได้ครับ เมื่อเพื่อนกำลังจะโดนท่าแรงๆเราสามารถเสี่ยงดวงลดโอกาสโดนให้เพื่อนได้
  • Level 8 - Potent Spellcasting (5/10) - เพิ่ม Wis Modifier เข้าไปในดาเมจของ Cantrips ต่างๆ ... เป็นสกิลที่ดี แต่อาจจะไม่คุ้มที่จะอัพไปเวล 8 เพื่อสกิลนี้ครับ

4. Subclass: Trickery Domain
นักบวชสายหลอกลวง(แปลกๆ) เรียกว่าสายลอบเร้นก็ได้ เน้นการซ่อนตัวและสร้างร่างจำลองมาหลอกล่อศัตรู


Milestones เพิ่มจากคลาส Main
  • Level 1 - Blessing of the Trickster (5/10) - ทำให้เพื่อน 1 คนได้ Advantage สำหรับ Stealth Check ตลอดจน Long Rest ... เป็นเวทย์บัฟสายลอบเร้นที่ดี แต่ใช้กับตัวเองไม่ได้ แถมยังต้อง Concentrate อาจจะทำให้ใช้เวทย์อื่นที่ต้อง Concentrate ไปด้วยไม่ได้
  • Level 2 - Invoke Duplicity (4/10) - ใช้ Action Point และ Channel Divinity Charges เพื่อสร้างร่างจำลองของคุณมา โดยคุณและเพื่อนจะได้ Advantage ใน Attack Roll กับศัตรูนั้นๆ ถ้าคนโจมตีและร่างจำลองอยู่ใกล้กันในระยะ 3 เมตร ... เป็นสกิลหลอกล่อที่ดี แต่อาจจะไม่คุ้มกับทรัพยากรที่ใช้ไป
  • Level 6 - Cloak of Shadows (6/10) - ใช้ Action Point และ Channel Divinity Charges เพื่อหายตัวเป็นระยะเวลา 2 เทิร์น ... ถือว่าดีแต่อาจจะไม่คุ้มเท่าไหร่ครับ
  • Level 8 - Divine Strike: Poison (6/10) - เมื่อเราโจมตีศัตรู จะสามารถทำดาเมจพิษเพิ่มได้ 1-8 หน่วย ใช้ได้ 1 ครั้ง/ 1 เทิร์น ... ได้ดาเมจเพิ่มคือดี แต่ไม่ค่อยคุ้มกับการที่ต้องอัพคลาสจนถึงเลเวล 8

5. Subclass: Knowledge Domain
นักบวชผู้มากไปด้วยความรู้ เน้นการเพิ่มแต้ม Skill ให้กับตัวเองและอ่านความคิดของคนอื่น เหมาะกับการใช้สำหรับเริ่มบทสนทนา


Milestones เพิ่มจากคลาส Main
  • Level 1 - Blessings of Knowledge (2/10) - เลือก Proficiency ให้สกิลสาย Int ได้ 2 อัน ... ไม่ค่อยมีประโยชน์มากเท่าไหร่ครับเพราะดันจำกัดสกิลแค่ Arcana, History, Nature, และ Religion เท่านั้น
  • Level 2 - Knowledge of the Ages (6/10) - ใช้ Action Point และ Channel Divinity Charges เพื่อเพิ่ม Proficiency ใน Skills ทุกอันของ Ability ที่เราเลือก ... สามารถเพิ่มได้จนถึง Long Rest เลย ก็ถือว่าดีสำหรับคนที่อยากได้โบนัส Skills Check เพิ่ม
  • Level 6 - Read Thoughts (4/10) - ใช้ Action Point และ Channel Divinity Charges เพื่อให้สามารถอ่านความคิดได้จนถึง Long Rest ... แต่เป็นเวทย์แบบ Concentrate ดังนั้นอาจจะไม่คุ้มมากเท่าไหร่ครับ
  • Level 8 - Potent Spellcasting (5/10) - เพิ่ม Wis Modifier เข้าไปในดาเมจของ Cantrips ต่างๆ ... เป็นสกิลที่ดี แต่อาจจะไม่คุ้มที่จะอัพไปเวล 8 เพื่อสกิลนี้ครับ
Milestones ของ Cleric (Part2)
6. Subclass: Nature Domain
นักบวชผู้รักธรรมชาติ ผู้ใช้เวทย์ในการปกป้องเพื่อนและใช้ธรรมชาติในการโจมตีศัตรูและสามารถใช้เกราะหนักได้


Milestones เพิ่มจากคลาส Main
  • Level 1 - Acolyte of Nature (2/10) - เลือกสกิล 1 อันและ Cantrips สาย Druid 1 อัน ... ไม่มีประโยชน์เลยครับ เพราะไปเลือกคลาส Druid ก็ได้ 555+
  • Level 2 - Charm Animals and Plants (4/10) - ใช้ Action Point และ Channel Divinity Charges เพื่อทำให้ศัตรูประเภท Beasts และ Plants ติดสถานะ Charmed ... ใช้ได้ไม่ดีเท่าไหร่เพราะจำกัดประเภทศัตรูแค่ 2 แบบ
  • Level 6 - Dampen Elements (4/10) - ใช้ Reaction และ Channel Divinity Charges ในการช่วยลดดาเมจลงครึ่งนึง เมื่อโดนศัตรูโจมตีด้วยธาตุ Acid, Cold, Fire, Lightning, และ Thunder ... เป็นสกิลลดดาเมจที่ไม่คุ้มเท่าไหร่ครับ
  • Level 8 - Divine Strike: Elemental Fury (7/10) - เมื่อเราโจมตีศัตรู จะสามารถทำดาเมจธาตุไฟ น้ำแข็ง หรือสายฟ้าเพิ่มได้ 1-8 หน่วย ใช้ได้ 1 ครั้ง/ 1 เทิร์น ... ดีตรงที่เลือกธาตุได้ แต่ไม่ค่อยคุ้มกับการที่ต้องอัพคลาสจนถึงเลเวล 8

7. Subclass: Tempest Domain
นักบวชแห่งพายุสายฟ้า เน้นการโจมตีด้วยเวทย์สายฟ้าและพายุใส่กลุ่มศัตรู สามารถสวมเกราะหนักได้


Milestones เพิ่มจากคลาส Main
  • Level 1 - Wrath of the Storm (7/10) - เมื่อโดนโจมตี เราสามารถใช้ Reaction ในการโจมตีด้วยธาตุสายฟ้าหรือพายุได้ 2-16 หน่วย ... เป็นเวทย์สวนที่ใช้ได้ดีในช่วงแรกๆครับ
  • Level 2 - Destructive Wrath (10/10) - เมื่อเราใช้เวทย์สายฟ้าหรือพายุโจมตี เราสามารถใช้ Channel Divinity Charges 1 แต้มบังคับ Max Damage ได้ ... สำหรับผู้ใช้เวทย์สายฟ้าพายุแล้ว สกิลนี้คือสิ่งที่จำเป็นต้องมีอย่างที่สุดครับ
  • Level 6 - Thunderbolt Strike (9/10) - เมื่อเราทำดาเมจสายฟ้าหรือพายุ ศัตรูที่โดนดาเมจจะโดนผลักกระเด็นไป 3 เมตร ... เป็นสกิลเสริมสำหรับเวทย์สายฟ้าและพายุที่ดีมากๆครับ เพราะแม้แต่สายฟ้าในน้ำที่เกิดจากสายฟ้าของเราก็จะติดสกิลนี้ด้วย
  • Level 8 - Divine Strike: Tempest (6/10) - เมื่อเราโจมตีศัตรู จะสามารถทำดาเมจธาตุพายุ Thunder เพิ่มได้ 1-8 หน่วย ใช้ได้ 1 ครั้ง/ 1 เทิร์น ... ไม่ค่อยคุ้มกับการที่ต้องอัพคลาสจนถึงเลเวล 8

8. Subclass: War Domain
นักบวชแห่งสงคราม ที่เน้นการโจมตีศัตรูด้วยอาวุธเป็นหลัก สามารถสวมเกราะหนักและใช้อาวุธได้ทุกชนิด


Milestones เพิ่มจากคลาส Main
  • Level 1 - War Priest (9/10) - ใช้ Bonus Action และ War Priest Charges ในการโจมตีได้ ... เป็นสกิลที่ดีมาก เพราะสามารถใช้ได้ตั้งแต่เวล 1 เลย
  • Level 2 - Guided Strike (8/10) - ใช้ Channel Divinity Charges ในการเพิ่มโบนัส +10 ให้กับ Attack Roll ของเรา ... ถือว่าใช้ได้ดีสำหรับการโจมตีที่ต้องการให้โดนแน่ๆ แต่อาจจะไม่คุ้มค่ากับการใช้แต้ม Channel Divinity Charges
  • Level 6 - War God's Blessing (7/10) - เมื่อเพื่อนในระยะ 10 เมตรโจมตีศัตรู เราสามารถใช้ Channel Divinity Charges ในการเพิ่มโบนัส +10 ให้กับ Attack Roll ของเพื่อนได้ ... ใช้สำหรับช่วยให้เพื่อนตีท่าแรงๆให้โดนได้ง่ายขึ้น
  • Level 8 - Divine Strike: Weapon (6/10) - เมื่อเราโจมตีศัตรู จะสามารถทำดาเมจของอาวุธเพิ่มได้ 1-8 หน่วย ใช้ได้ 1 ครั้ง/ 1 เทิร์น ... ใช้เพิ่มดาเมจได้ แต่ไม่ค่อยคุ้มกับการที่ต้องอัพคลาสจนถึงเลเวล 8

9. Patch 8 New Subclass: Death Domain
นักบวชแห่งความตาย ผู้เชี่ยวชาญเวทย์และการทำดาเมจสาย Necromancy


Milestones เพิ่มจากคลาส Main
  • Level 1 - Reaper (9/10) - ทำให้ Cantrip สาย Necromancy จากปกติที่เล็งเป้าได้ 1 ตัว สามารถเพิ่มเป็น 2 ตัวได้ ... ตอนแรกก็ว่าไม่ดีมากเพราะใช้ได้กับแค่ Bone Chill แต่ใน Patch 8 มีการเพิ่ม Cantrips สาย Necromancy มาอีก 2 อันคือ Bursting Sinew และ Toll the Dead ทำให้สกิลนี้มีประโยชน์มากๆในช่วงต้นเกมครับ เพราะได้ตั้งแต่เวลแรกเลย
  • Level 2 - Touch of Death (6/10) - เมื่อเราโจมตีประชิดใส่ศัตรู จะสามารถใช้ Channel Divinity Charges ทำดาเมจ Necrotic เพิ่มใส่ศัตรูได้เท่ากับ 5 + (2xเลเวล Cleric) ... ซึ่งก็ถือว่าดีสำหรับช่วงต้นเกมเช่นกันครับ แต่ผมให้คะแนนไม่เยอะเพราะมันนับดาเมจตามเลเวลคลาส Cleric ไม่ใช่เลเวลตัวละครแบบสาย Life หรือ Light
  • Level 6 - Inescapable Destruction (7/10) - ดาเมจที่เราทำได้ จะทะลุ Necrotic Resistance ของศัตรู (ยกเว้นศัตรูจะมี Immune) ซึ่งถือว่าดีครับ เพราะช่วงกลางเกมศัตรูสาย Undead ที่มีค่าความต้านทานดาเมจสายนี้เยอะมาก ช่วยให้คนที่เล่นสายนี้ทำดาเมจใส่ศัตรูส่วนใหญ่ได้อยู่ ... แต่ส่วนตัวผมก็มองว่าไม่ได้คุ้มค่ามากเท่าไหร่ครับ
  • Level 8 - Divine Strike: Necrotic (6/10) - เมื่อเราโจมตีศัตรู จะสามารถทำดาเมจธาตุความตาย Necrotic เพิ่มได้ 1-8 หน่วย ใช้ได้ 1 ครั้ง/ 1 เทิร์น ... ไม่ค่อยคุ้มกับการที่ต้องอัพคลาสจนถึงเลเวล 8
Milestones ของ Druid
1. Druid (Main)
นักบวชแห่งธรรมชาติ ผู้สามารถจำแลงกายร่างสัตว์ป่าและใช้เวทย์แห่งธรรมชาติได้


Milestones
  • Level 2 - Wild Shape (8/10) - สามารถใช้ Action Point จำแลงกายเป็นสัตว์ป่าได้ โดยร่างที่จำแลงที่ใช้ได้และเลือดในร่างจำแลงจะขึ้นอยู่กับเลเวลของคลาส และจะเพิ่มทุกๆ 2 เลเวล ใช้ได้ดีในหลายๆสถานการณ์ สามารถหาข้อมูลค่า Stat ร่างจำแลงได้จาก https://bg3.wiki/wiki/Wild_Shape
  • Level 4 - Wild Shape: Deep Rothé (4/10) - ได้ร่างจำแลงเพิ่มมา ซึ่ง Deep Rothé นี่อาจจะไม่ได้เก่งมากเท่าไหร่ครับ
  • Level 5 - Wild Strike (10/10) - โจมตีได้ 2 ครั้งต่อ 1 Action Point เมื่ออยู่ในร่างจำแลง ของดีและของจำเป็นสำหรับสายแปลงร่างครับ
  • Level 6 - Wild Shape: Panther และ Owlbear (8/10) - ได้ร่างจำแลงเพิ่มมา 2 แบบ ซึ่งใช้ในการต่อสู้ได้ดีทั้งสองตัวเลยครับ
  • Level 10 - Wild Shape: Dilophosaurus (6/10) - ได้ร่างจำแลงเพิ่มมา เป็นร่างไดโนเสาร์ที่ไม่ค่อยเก่งมากเท่าไหร่ครับ ส่วนตัวผมว่าร่าง Owlbear เก่งกว่า
  • Level 10 - Improved Wild Strike (10/10) - โจมตีได้ 3 ครั้งต่อ 1 Action Point นี่คือ Must Have สำหรับสายจำแลงกายครับ

2. Subclass: Circle of the Land
นักบวชจำแลงกายผู้ปกป้องผืนแผ่นดิน มีความสามารถในการร่ายเวทย์ของพื้นที่ธรรมชาติแต่ละประเภท


Milestones เพิ่มจากคลาส Main
  • Level 2 - Natural Recovery (8/10) - สามารถใช้พลังธรรมชาติ ฟื้นคืน Slot เวทย์ได้ เหมาะกับสายที่เน้นการร่ายเวทย์เป็นหลัก
  • Level 6 - Land's Stride: Difficult Terrain (4/10) - พื้นที่แบบ Difficult Terrain จะไม่ทำให้คุณเคลื่อนที่ช้าลง ... แบบเดียวกับของ Barbarian: Wild Heart เวล 8 แต่อันนี้ได้ตอนเลเวล 6 ครับ
  • Level 10 - Nature's Ward (7/10) - คุณจะไม่สามารถโดน Charmed และ Frightened จากศัตรูประเภท Elementals และ Fey ได้ และคุณจะไม่สามารถติดพิษหรือสถานะโรคต่างๆได้ ... เป็นสกิลป้องกันที่ดี แต่ไม่ค่อยคุ้มกับการอัพถึงเวล 10 ครับ

3. Subclass: Circle of the Moon
นักบวชแห่งดวงจันทร์ จะลงทัณฑ์แกเอง ... อ่าวผิดเรื่อง เป็นนักบวชผู้บูชาดวงจันทร์และเชี่ยวชาญในการจำแลงกาย สามารถแปลงร่างขณะต่อสู้และมีร่างจำแลงมากกว่าสายอื่นๆ


Milestones เพิ่มจากคลาส Main
  • Level 2 - Lunar Mend (7/10) - สามารถฮีลระหว่างจำแลงกายได้ ... ถือว่าดีมากสำหรับคนที่เล่นสายแปลงร่างเป็นหลัก เพราะจะยื้อเวลาหลุดร่างให้สามารถต่อสู้ได้นานขึ้น
  • Level 2 - Combat Wild Shape (9/10) - สามารถใช้ Bonus Action ในการจำแลงกาย เหมาะมาก เวลาใช้ในการต่อสู้เพราะจะเสียแค่ Bonus Action เท่านั้น
  • Level 2 - Wild Shape: Bear (8/10) - ได้ร่างจำแลงเพิ่มมา ซึ่งร่างหมีเป็นร่างในการต่อสู้ช่วงต้นเกมที่ดีมากๆครับ
  • Level 4 - Wild Shape: Dire Raven (4/10) - ได้ร่างจำแลงเพิ่มมา แต่เป็นร่างอีกาที่ไม่ค่อยมีประโยชน์มากครับ
  • Level 6 - Primal Strike (6/10) - การโจมตีในร่างจำแลงของเราจะเป็นแบบ Magical แทน ทำให้ศัตรูที่มีแต่ Resistance ทางกายภาพไม่สามารถต้านทานดาเมจจากเราได้
  • Level 8 - Wild Shape: Sabre-Toothed Tiger (8/10) - ได้ร่างจำแลงเพิ่มมา เป็นร่างเสือเขี้ยวดาบที่สามารถทำศัตรูล้มได้ดี
  • Level 10 - Wild Shape: Air, Earth, Fire และ Water Myrmidon (10/10) - ได้ร่างจำแลงเพิ่มมา 4 ร่าง โดยเป็นขั้นสุดของการจำแลงกาย ซึ่งทุกร่างสามารถทำดาเมจและสถานะต่างๆใส่ศัตรูได้ดีมากๆ

4. Subclass: Circle of the Spores
นักบวชแห่งเชื้อราและความตาย เป็นสายที่ถนัดการใช้เวทย์แห่งความตายของธรรมชาติเข้าเล่นงานศัตรู


Milestones เพิ่มจากคลาส Main
  • Level 2 - Halo of Spores (8/10) - ใช้ Reaction ในการปล่อยควันเชื้อราทำดาเมจ Necrotic 1-4 หน่วยใส่ศัตรูในระยะ 6 เมตร ... เป็นสกิลทำดาเมจที่ดีในช่วงต้นเกมครับ
  • Level 2 - Symbiotic Entity (9/10) - ได้เลือดสำรอง 4 หน่วยต่อเลเวล Druid 1 เวล โดยขณะที่เรามีเลือดสำรองอยู่ อาวุธและมือเปล่าจะทำดาเมจ Necrotic เพิ่ม 1-6 หน่วย และ Halo of Spores จะทำดาเมจได้ 2 เท่า ... เมื่อใช้คู่กับสกิลอื่นที่ได้เลือดสำรองที่เยอะกว่าด้วย จะสามารถได้ดาเมจเพิ่มได้นานอยู่ แถมเป็นสกิลที่ได้ตั้งแต่เวลแรกๆ ถือว่าคุ้มค่าอยู่ครับ
  • Level 6 - Fungal Infestation (8/10) - สามารถใช้ Reaction และ Fungal Infestation Charge เปลี่ยนศพประเภท Beast และ Humanoid ให้กลายเป็น Zombie ได้ ... ใช้ได้ดีสำหรับสาย Summon ครับ
  • Level 10 - Spreading Spores (9/10) - เมื่อมีสกิล Symbiotic Entity และเลือดสำรองอยู่ จะสามารถปล่อยควันเชื้อราทำดาเมจ Necrotic 2-16 หน่วยใส่ศัตรูในระยะ 9 เมตรได้ โดยกลุ่มควันนี้จะอยู่เป็นเวลา 10 เทิร์นหรือจนกว่าเลือดสำรองเราจะหมด ... เป็นสกิลที่ทำดาเมจใส่กลุ่มศัตรูได้ดีทีเดียว

5. Patch 8 New Subclass: Circle of the Stars
นักบวชแห่งธรรมชาติและดวงดาว ผู้ถนัดการแปลงร่างเป็นเซ้นท์เซย่าแล้วใช้พลังจากจักรราศีดวงดาว


Milestones เพิ่มจากคลาส Main
  • Level 2 - Starry Form (9/10) - เพิ่มร่างแปลงแบบได้พลังแห่งดวงดาวแทนที่จะแปลงเป็นสัตว์ต่างๆ ทำให้เราคงอยู่ในร่างมนุษย์และใช้พลังพิเศษได้ฟรีในแต่ละเทิร์น ข้อดีคือเราจะสามารถร่ายเวทย์ต่างๆได้เหมือนปกติ ข้อเสียคือเราจะไม่ได้เลือดสำรองของร่างแปลง และไม่ได้ผลจากสกิลพิเศษที่เพิ่มให้ Wild Shape ด้วย เช่น Wild Strike หรือ Improved Wild Strike ... ส่วนตัวผมมองว่า สำหรับคนที่เล่นดรูอิทเพื่อเน้นร่ายเวทย์ช่วยทีม นี่เป็นตัวเลือกที่ดีกว่าสาย Land เยอะครับ สำหรับคนที่อยากรู้ว่า Starry Form ทั้ง 3 ร่างทำอะไรได้บ้าง ลองดูในนี้ได้เลยครับ https://bg3.wiki/wiki/Starry_Form
  • Level 2 - Star Map: Guiding Bolt (8/10) - ร่าย Guiding Bolt แบบไม่เสีย Slot เวทย์ฟรี โดยจะเสียแค่ Star Map ที่เป็นเหมือน Resource สำรองอีกอันแยกมา ทำให้การเล่นช่วงแรกสามารถร่ายเวทย์นี้ทำดาเมจได้ถึง 2 รอบต่อ 1 Long Rest เลย ถ้ายิงโดนน่ะนะ
  • Level 6 - Cosmic Omen (9/10) - หลัง Long Rest เราจะได้แต้ม Cosmic Omen มาเพื่อใช้เพิ่มหรือลด Attack Rolls หรือ Saving Throw ของเพื่อนและศัตรูได้ (คล้ายๆ Portent ของ Divination Wizard แต่อันนี้ใช้การทอยเต๋าเพิ่มลดแทน) แถมยังสามารถใช้ร่าย Cosmic Omen เพิ่ม Ability Check แบบ Guidance แต่ได้ 1-6 แต้มให้เพื่อนได้ด้วย อันนี้ดีมากเพราะมัน Stack กับ Guidance ปกติได้
  • Level 10 - Twinkling Constellations (7/10) - เพิ่มความสามารถใน Starry Form ทั้งหลาย เช่น ดาเมจและฮีลได้แรงขึ้น แต่ความสำคัญจริงๆของสกิลนี้คือ ทำให้เราสามารถเปลี่ยนไปร่าง Starry Form อื่นๆได้อย่างอิสระ 1 ครั้งในแต่ละเทิร์น ทำให้สามารถเลือกสกิลที่จะใช้ได้อย่างยืดหยุ่นสุดๆ เสียดายที่กว่าจะได้สกิลนี้มาก็ต้องเลเวล 10 เลย ทำให้เรามีหนทางในการ Multiclass น้อยลงด้วยครับ
Milestones ของ Fighter
1. Fighter (Main)
นักสู้ผู้เชี่ยวชาญการต่อสู้ทางกายภาพทุกรูปแบบ สามารถใส่เกราะและใช้อาวุธได้ทุกชนิด


Milestones
  • Level 1 - Second Wind (8/10) - ใช้ Bonus Action ในการฮีลตัวเอง 1-10 หน่วย + เลเวลของคลาสนี้ ... เป็นสกิลฟื้นเลือดตัวเองที่ใช้ได้ดีในช่วงต้นเกมครับ
  • Level 2 - Action Surge (10/10) - ทำให้เราได้ Action Point เพิ่มมา 1 แต้มฟรีๆในเทิร์นนั้น ใช้ได้ 1 ครั้ง / 1 Short Rest ... เรียกได้ว่าเป็นสกิลที่ดีที่สุดจากคลาสนี้เลยครับ สามารถเอาไปผสมกับคลาสอื่นได้แทบทุกคลาสเลยเพราะประโยชน์มันดีจริง
  • Level 5 - Extra Attack (10/10) - โจมตีได้ 2 ครั้งต่อ 1 Action Point อันนี้แน่นอนครับ ของจำเป็นสำหรับสายโจมตีเลย
  • Level 9 - Indomitable (6/10) - เมื่อคุณเฟล Saving Throw คุณสามารถรีโรลได้อีกครั้งแล้วใช้ผลลัพธ์ใหม่ ใช้ได้ 1 ครั้ง / 1 Long Rest ... เกือบจะดีครับ ถ้าไม่ติดว่ามันใช้ผลลัพธ์ใหม่ซึ่งอาจจะโรลไม่ผ่านเหมือนเดิมก็ได้ครับ
  • Level 11 - Improved Extra Attack (10/10) - โจมตีได้ 3 ครั้งต่อ 1 Action Point ... นี่เป็นสกิลเฉพาะของคลาสนี้ครับ เป็นคลาสเดียวที่มีสกิลโจมตีได้ 3 ครั้ง สำหรับสายโจมตีด้วยอาวุธประชิดก็คุ้มค่ามากๆกับการอัพมาจนถึงเวลนี้

2. Subclass: Battle Master
นักสู้ผู้สามารถใช้ท่าพิเศษในการเปลี่ยนความได้เปรียบเสียเปรียบในสนามรบได้ เน้นการโจมตีที่รุนแรงและสร้างสถานะที่เสียเปรียบใหศัตรู


Milestones เพิ่มจากคลาส Main
  • Level 3 - Superiority Dice+4 และ Manoeuvres+3 (10/10) - ผมขอรวมไว้อันเดียวเลย คือเราจะได้ Superiority Dice ไว้สำหรับใช้ Manoeuvres หรือก็คือท่าพิเศษต่างๆ เช่น ทำให้ศัตรูล้ม, ผลักศัตรูให้กระเด็น, ปลดอาวุธศัตรู, หรือแม้กระทั่งทำให้ศัตรูกลัวจนเคลื่อนที่ไม่ได้ โดยเราจะเลือกได้ 3 ท่าจากทั้งหมด 14 ท่า ... สำหรับใครที่อยากรู้ว่ามีท่าทำอะไรได้บ้างดูตามลิ้งค์นี้ได้เลยครับ https://bg3.wiki/wiki/Manoeuvres
  • Level 7 - Superiority Dice+1 และ Manoeuvres+2 (8/10) - ได้ Superiority Dice เพิ่มอีก 1 ลูกและเลือก Manoeuvres เพิ่มอีก 2 ท่า
  • Level 10 - Improved Combat Superiority (5/10) - เพิ่มขนาดเต๋า Superiority Dice จาก 1-8 เป็น 1-10 หน่วยแทน ... ถ้าถือเป็นของแถมที่เราได้ใช้งานก็โอเคครับ แต่ไม่เหมาะกับเป็นเป้าหมายให้เราอัพมาให้ถึงนี่
  • Level 10 - Manoeuvres+2 (6/10) - เลือก Manoeuvres เพิ่มอีก 2 ท่า ... ไม่ค่อยคุ้มกับการอัพมาถึงเลเวลนี้เท่าไหร่ครับ

3. Subclass: Eldritch Knight
นักรบสายกึ่งผู้ใช้เวทย์มนต์ สามารถใช้เวทย์ได้เล็กน้อย เหมาะกับผู้ที่ชื่นชอบการเล่นแบบเป็นนักรบที่ใช้พลังเวทย์ได้แบบ Witcher


Milestones เพิ่มจากคลาส Main
  • Level 3 - Weapon Bond (7/10) - ทำให้อาวุธไม่สามารถหลุดมือ และจะคืนกลับมาเข้ามือเราเมื่อขว้างออกไป ... ใช้ได้ดีสำหรับคนที่อยากเล่นสายขว้าง
  • Level 7 - War Magic (6/10) - เมื่อเราใช้เวทย์แบบ Cantrips เราจะสามารถโจมตีได้ด้วย Bonus Action ... ถือเป็นการแลกเปลี่ยนที่โอเคครับ แต่อาจจะไม่ได้ดีมากขนาดที่ว่าต้องมี
  • Level 10 - Eldritch Strike (6/10) - เมื่อคุณโจมตีโดนศัตรู มันจะติด Disadvantage ในการ Saving Throw ของการโจมตีด้วยเวทย์ของคุณ มีผล 1 ครั้งหรือจนกว่าจะถึงเทิร์นถัดไปของคุณ ... ใช้ได้ดีเวลาคุณต้องการใช้เวทย์ล็อคศัตรูอย่าง Hold Person ในเทิร์นต่อไป แต่ส่วนใหญ่ในเลเวลนี้ คุณจะฆ่าศัตรูตายภายในไม่เทิร์นเดียวก็สองเทิร์นอยู่แล้วครับ เลยอาจจะไม่ค่อยได้ใช้เท่าไหร่

4. Subclass: Champion
นักสู้ผู้เน้นการเคลื่อนที่และการโจมตีเน้นคริติคัล


Milestones เพิ่มจากคลาส Main
  • Level 3 - Improved Critical Hit (9/10) - ทำให้การโรลให้ติดคริ ลดลง 1 แต้มและสามารถ Stack กับผลการลดคริอื่นๆได้ ... พูดง่ายคือ จากการที่คุณต้องโรลให้ได้ 20 ถึงจะติดคริ จะเปลี่ยนเป็น 19-20 แทน หรือเอาง่ายกว่านั้น ก็คือเพิ่มโอกาสคริอีก 5% ครับ ที่ดีเพราะได้ตอนเวลน้อยๆ เหมาะกับบิ้วสายบู๊ระยะประชิดที่เน้นการโจมตีติดคริ
  • Level 7 - Remarkable Athlete: Jump (5/10) - เพิ่มระยะการกระโดดอีก 3 เมตร ... ก็ตามนั้นครับ แค่อาจจะไม่คุ้มที่ต้องอัพมาถึงนี่
  • Level 7 - Remarkable Athlete: Proficiency (3/10) - เพิ่มครึ่งนึงของค่า Proficiency เข้าไปให้กับ Check ทุกอย่างของสาย Str, Dex, และ Con ที่คุณไม่มี Proficiency ใน Check นั้นๆ ... เรียกได้ว่าไม่มีประโยชน์เท่าไหร่ครับ ไม่สมกับเป็นสกิลของเวล 7

5. Patch 8 New Subclass: Arcane Archer
นักธนูเวทย์มนต์ผู้เชี่ยวชาญการโจมตีด้วยธนูอาบเวทย์อันหลากหลายใส่ศัตรู


Milestones เพิ่มจากคลาส Main
  • Level 3 - Arcane Shots (9/10) - ใช้เวทย์อาบธนูแล้วยิงออกไปทำให้ลูกศรเรามีผลกระทบที่หลากหลายมาก ตั้งแต่ ทำดาเมจแบบต่างๆเพิ่ม ทำให้ตาบอด หรือแม้กระทั่ง Banish ให้หายไปแบบ Banishing Smite ก็ยังได้ (แค่ดาเมจไม่ได้แรงเท่า) โดยใช้ทรัพยากรและต้องเลือกท่าที่ต้องการเอาไว้ใช้แบบเดียวกับ Manoeuvres ของ Battle Master มีข้อเสียก็แค่ Save DC ของแต่ละท่าใช้ Int Modifier ในการบวกเพิ่ม ... สำหรับใครที่อยากรู้ว่ามีท่าไหนบ้าง ดูได้จากที่นี่เลยครับ https://bg3.wiki/wiki/Arcane_Shots
  • Level 7 - Curving Shot (7/10) - ถ้าคุณใช้ Arcane Shots แล้วยิงพลาด สามารถใช้ Bonus Action ในการยิงท่าเดิมซ้ำใส่ศัตรูตัวที่อยู่ใกล้ที่สุดแทน ถือว่าเป็นสกิล Fail save ที่ดี ยกเว้นว่าศัตรูคุณจะมีหรือเหลือแค่คนเดียว
  • Level 7 - Magic Arrow (8/10) - ทำให้การโจมตีระยะไกลเป็นแบบ Magical ทำให้ไม่สามารถใช้ความต้านทาน Resistance ดาเมจกายภาพปกติลดดาเมจได้ ถือว่าดีระดับนึงสำหรับสายธนูเลยครับ
Milestones ของ Monk (Part1)
1. Monk (Main)
พระผู้เชี่ยวชาญวรยุทธกังฟู เน้นการโจมตีศัตรูด้วยมือเปล่าเป็นหลัก


Milestones
  • Level 1 - Martial Arts: Dextrous Attacks (10/10) - ทำให้ Ability ที่ใช้ในการโจมตีมือเปล่าหรือด้วยอาวุธ Monk ใช้ Str หรือ Dex ก็ได้ ขึ้นอยู่กับว่าอันไหนเยอะกว่า ... เป็นสกิลที่มาของคนที่เล่นพระสาย Str ครับ
  • Level 1 - Martial Arts: Deft Strikes (8/10) - การโจมตีด้วยมือเปล่าหรือด้วยอาวุธ Monk จะทำดาเมจ 1-4 หน่วยแบบ Bludgeoning ยกเว้นว่าดาเมจอาวุธจะสูงกว่า ... อันนี้ผมเรียกว่าไม่มีความเห็นดีกว่าครับ เพราะเป็นของที่ได้ตั้งแต่เวลแรกเลย
  • Level 1 - Martial Arts: Bonus Unarmed Strike (10/10) - หลังจากโจมตีด้วยมือเปล่าหรืออาวุธ Monk จะสามารถใช้ Bonus Action ในการโจมตีได้ ... ใช้ได้ดีตั้งแต่เริ่มแรกยันจบเกมเลยครับ
  • Level 1 - Unarmoured Defence (7/10) - เมื่อคุณไม่ได้ใส่เกราะ คุณจะได้โบนัส AC จาก Wis Modifier เพิ่มด้วย ... มีประโยชน์มากครับ จนกว่าคุณจะเล่น Monk สายใส่เกราะ สกิลนี้ถึงจะไม่ได้ใช้
  • Level 1 - Flurry of Blows (10/10) - ใช้ Bonus Action และ Ki ในการโจมตีด้วยมือเปล่า 2 ครั้ง ... สกิลทำดาเมจหลักของคลาสนี้เลยครับ
  • Level 2 - Unarmoured Movement (7/10) - เมื่อคุณไม่ได้ใส่เกราะและโล่ คุณจะสามารถเดินได้ไกลขึ้น 3 เมตร ... มีประโยชน์อยู่ครับ จนกว่าคุณจะเล่น Monk สายใส่เกราะ สกิลนี้ถึงจะไม่ได้ใช้
  • Level 2 - Patient Defence (7/10) - ใช้ Bonus Action และ Ki ในการทำให้ศัตรูที่โจมตีเราติด Disadvantage และตัวเราจะได้ Advantage ของ Dex Saving Throw ด้วย ... ถือเป็นสกิลป้องกันที่ดีครับ
  • Level 2 - Step of the Wind: Dash และ Disengage (6/10) - ใช้ Bonus Action และ Ki ในการ Dash หรือ Disengage และจะสามารถกระโดดได้โดยไม่ใช้ Bonus Action ... ถือเป็นการใช้ Bonus Action ในการเพิ่มระยะเคลื่อนที่ที่ดี แต่เสียแค่ต้องใช้ค่า Ki ด้วย ทำให้อาจจะไม่คุ้มในการใช้งานจริงครับ
  • Level 3 - Deflect Missiles (9/10) - สามารถลดดาเมจจากการโจมตีระยะไกลจากศัตรูได้ 1-10 หน่วย + Dex Modifier + เลเวลคลาส Monk และถ้าลดดาเมจเหลือ 0 ได้ จะสามารถใช้ Ki ในการปากระสุนกลับไปหาคนยิง ... เป็นสกิลที่ใช้เค้าน์เตอร์ใส่พวกระยะไกลได้ดีครับ
  • Level 4 - Slow Fall (6/10) - ลดดาเมจจากการตกจากที่สูงได้ครึ่งนึง ... ถือว่าดีแต่ไม่ค่อยได้มีโอกาสใช้เท่าไหร่ครับ ยกเว้นคุณจะชอบกระโดดลงจากที่สูงบ่อยๆ ซึ่งไม่น่ามีใครทำนะ 555+
  • Level 5 - Stunning Strike (Melee)/(Unarmed) (10/10) - ใช้ Action Point และ Ki ในการโจมตีศัตรูด้วยมือเปล่าหรืออาวุธ Monk ให้ติดสถานะ Stunned ได้ 1 เทิร์น ... เป็นท่าที่เอาไว้ล็อคศัตรูเก่งๆได้ดีมากครับ
  • Level 5 - Extra Attack (10/10) - โจมตีได้ 2 ครั้งต่อ 1 Action Point อันนี้แน่นอนครับ ของจำเป็นสำหรับสายโจมตีเลย
  • Level 6 - Improved Unarmoured Movement (6/10) - เมื่อคุณไม่ได้ใส่เกราะและโล่ คุณจะสามารถเดินได้ไกลขึ้น 4.5 เมตร ... คือขั้นกว่าของ Unarmoured Movement นั่นเองครับ
  • Level 6 - Ki-Empowered Strikes (7/10) - การโจมตีมือเปล่าของเราจะเป็น Magical ทำให้ศัตรูที่มี Resistance ทางกายภาพไม่สามารถลดดาเมจที่โดนลงได้ ... ใช้ได้ดีระดับนึงครับ
  • Level 7 - Evasion (8/10) - เมื่อโดนโจมตีด้วยเวทย์แบบ Dex Sav ที่ปกติจะลดดาเมจลงครึ่งนึงเมื่อผ่าน Saving Throw ได้ จะกลายเป็นหากคุณผ่าน Saving Throw ได้จะโดนดาเมจเป็น 0 และถ้าผ่านไม่ได้จะโดนดาเมจแค่ครึ่งดียวแทน ... เป็นสกิลป้องกันพวกเวทย์โจมตีวงกว้างอย่าง Fireball ได้ดีมากๆครับ เพราะจะทำให้เรามีโอกาสไม่โดนดาเมจเลย
  • Level 7 - Stillness of Mind (3/10) - เมื่อเราโดนสถานะ Charmed หรือ Frightened เราจะใช้ Action Point ในการลบล้างผลโดยอัตโนมัติ ... เหมือนจะดี แต่ไม่ดีเลยครับ เพราะมันจะกิน Action Point เราไปเลย ทำให้สถานะพวกนี้เป็นเหมือนตัวลบ Action Point ของเราเลยล่ะ
  • Level 9 - Advanced Unarmoured Movement (5/10) - เมื่อคุณไม่ได้ใส่เกราะและโล่ พื้นที่แบบ Difficult Terrain จะไม่ทำให้คุณเคลื่อนที่ช้าลง และจะกระโดดได้ไกลขึ้น 6 เมตร ... ไม่ได้มีประโยชน์มากครับ ยกเว้นคุณจะเล่นสาย Str ที่กระโดดหาศัตรูบ่อยๆ
  • Level 10 - Purity of Body (7/10) - คุณจะต้านทานพิษโดยสมบูรณ์ และไม่สามารถติดโรคพวก Disease ต่างๆได้

2. Subclass: Way of the Four Elements
พระสำนักสี่ธาตุ ผู้ใช้วิชาอาคมในการโจมตีด้วยธาตุต่างๆ ... หรือเรียกง่ายๆว่าพระสายเวทย์ก็ได้ครับ สำหรับคนที่อยากรู้ว่ามีท่าไหนให้ใช้บ้าง ลองดูได้ที่นี่ครับ https://bg3.wiki/wiki/Way_of_the_Four_Elements


Milestones เพิ่มจากคลาส Main
  • Level 3 - Harmony of Fire and Water (6/10) - สามารถฟื้นคืน Ki ได้ครึ่งนึงของจำนวน Ki สูงสุดของคุณ (แบบปัดลง) ... เป็นสกิลฟื้นคืน Ki ที่ดี แต่ใช้ได้แค่ 1 ครั้ง / 1 Long Rest ซึ่งผลประโยชน์ก็เทียบกับสกิล Wholeness of Body ของสาย Open Hand ไม่ได้เลย
  • Level 9 - Improved Elemental Casting (6/10) - เพิ่มเต๋าดาเมจให้กับท่า(เวทย์)ของสาย Four Elements และทำให้เวทย์บางอย่างของสายนี้ใช้กับศัตรูได้ 2 ตัว ... อาจจะไม่คุ้มเท่าไหร่ แต่ถ้าเล่นสายนี้ก็อาจจะต้องอัพมาให้ถึงเพื่อให้ดาเมจเพิ่มขึ้นครับ
Milestones ของ Monk (Part2)
3. Subclass: Way of the Open Hand
พระสายแบมือ ไม่ใช่ครับ สายมือเปล่าผู้เชี่ยวชาญและชำนาญการต่อสู้ด้วยมือเปล่าระยะประชิด


Milestones เพิ่มจากคลาส Main
  • Level 3 - Flurry of Blows: Topple/Stagger/Push (10/10) - เปลี่ยนสกิล Flurry of Blows ปกติให้กลายเป็น 3 แบบคือ สามารถทำให้ศัตรูล้ม, ติดมึน หรือ ผลักกระเด็นออกไปได้ ... เป็นของดีที่สามารถใช้ได้ในทุกสถานการณ์ครับ
  • Level 6 - Manifestation of Mind, Body และ Soul (10/10) - ทำให้การโจมตีด้วยมือเปล่าของคุณ ทำดาเมจประเภท Necrotic, Psychic หรือ Radiant ได้ โดยเลือกได้แค่ 1 อย่างเท่านั้น แต่สามารถเปลี่ยนไปมาได้ตลอดเวลา ... เป็นสกิลเสริมดาเมจที่ดีมากๆครับ เพราะเราสามารถเลือกประเภทดาเมจได้ ทำให้เราปรับเปลี่ยนตามการป้องกันของศัตรูได้
  • Level 6 - Wholeness of Body (10/10) - ฟื้นคืน Ki ครึ่งนึงของจำนวน Ki สูงสุดของเรา และจะเพิ่มขึ้นอีก 1 ในอีก 2 เทิร์นถัดไป, ฟื้นเลือดเราจำนวนเท่ากับ 3xเลเวล Monk และที่สำคัญ ทำให้เรามี Bonus Action เพิ่มอีก 1 แต้มได้เป็นเวลา 3 เทิร์น สามารถใช้ได้ 1 ครั้ง / 1 Long Rest ... ดีจนแทบไม่ต้องบอกอะไรมากเลยครับ
  • Level 9 - Ki Resonation: Punch และ Punch (Bonus Action) (10/10) - ใช้มือเปล่าโจมตีและส่งพลังสั่นสะเทือนเข้าไปในร่างศัตรู ... ใช้คู่กับ Blast ได้ดีมากครับ เพราะทั้งสองท่านี้ไม่ได้ใช้แต้ม Ki ในการโจมตีแต่อย่างใด
  • Level 9 - Ki Resonation: Blast (10/10) - ใช้แต้ม Ki ในการระเบิดพลังสั่นสะเทือนที่ฝังไว้ในร่างศัตรู ทำดาเมจ Force 3-18 หน่วยใส่ศัตรูทุกตัวในระยะ 5 เมตร ... ถ้าคุณคิดว่ามันยังดีไม่พอล่ะก็ Blast สามารถระเบิดต่อเนื่องกันได้ด้วยนะครับ เช่นถ้าคุณฝังระเบิดพลังไว้ในศัตรู 3 ตัว แล้วทั้งหมดอยู่ในระยะ 5 เมตร ก็จะสามารถระเบิดทั้งหมด 3 รอบเลย ใช้ดีๆคือจะกลายเป็นสกิล AOE ของ Monk ที่โหดมากๆครับ
  • Level 10 - Tranquility (8/10) - หลังจาก Long Rest แล้วคุณจะได้ผลของเวทย์ Sanctuary ไปจนกว่าคุณจะโจมตีศัตรู ... ถือว่าเป็นสกิลกันการโจมตีก่อนของศัตรูที่ดีมากครับ แต่ใช้ได้แค่ครั้งเดียวต่อ 1 Long Rest เท่านั้น

4. Subclass: Way of Shadow
พระสายลอบเร้น ผู้เชี่ยวชาญการอำพรางตัวและเคลื่อนที่ในเงามืด


Milestones เพิ่มจากคลาส Main
  • Level 3 - Shadow Arts (8/10) - ได้เวทย์สายความมืดที่เอาใช้ช่วยในการลอบเร้นได้เป็นอย่างดีมา ใครที่อยากรู้ว่ามีอะไรบ้าง ดูได้ที่นี่ครับ https://bg3.wiki/wiki/Way_of_Shadow#Shadow_Arts
  • Level 5 - Cloak of Shadows (9/10) - เมื่ออยู่ในพื้นที่ที่มีเงามืด สามารถใช้ Action Point หายตัวได้ 10 เทิร์น ผลของสกิลจะหายไปเมื่อเราไปอยู่ในจุดที่ที่มีแสงสว่าง ... ความดีงามของสกิลนี้คือ เราสามารถใช้ได้ไม่จำกัดจำนวนครั้งและไม่เสียค่า Ki ครับ เหมาะกับสายลอบเร้นมากๆ
  • Level 6 - Shadow Step (8/10) - ใช้ Bonus Action ในการวาร์ปไปสู่อีกจุดนึง โดยพื้นที่เริ่มต้นและจุดที่จะไปต้องเป็นพื้นที่ที่มีเงามืดทั้งคู่เท่านั้น ... เป็นสกิลเคลื่อนที่ในเงาที่ดีมากครับ แต่ข้อเสียคือวาร์ปไปจุดที่มีแสงสว่างไม่ได้
  • Level 11 - Shadow Strike และ Shadow Strike: Unarmed (3/10) - ใช้ Action Point และ Ki 3 แต้มในการวาร์ปไปโจมตีศัตรูจากเงามืดและทำดาเมจ Psychic เพิ่ม 3-24 หน่วย โดยเราต้อง Hide หรือหายตัวอยู่เท่านั้นถึงจะใช้ได้ ... เป็นสกิลที่ไม่คุ้มค่ามากๆครับ เพราะใช้ทรัพยากรเยอะและยุ่งยากเกินไป แถมดาเมจที่ได้ก็ไม่แรงมากด้วย อีกอย่าง เป็นสกิลเวล 11 ที่ต้องมาไกลมากกว่าจะได้มาใช้ครับ

5. Patch 8 New Subclass: Way of the Drunken Master
พระสายปาร์ตี้ ผู้เชี่ยวชาญการใช้หมัดเมาและดื่มเหล้าเป็นกิจวัตร


Milestones เพิ่มจากคลาส Main
  • Level 3 - Cheeky Tipple (9/10) - ทำให้คุณไม่โดนผลเสียของสถานะเมาเหล้าหรือ Drunk อีกต่อไป และการดื่มเหล้าจะฟื้นค่า Ki ให้คุณครึ่งนึงแบบปัดลง แต่เพิ่มได้แค่ 1 ครั้ง / 1 Long Rest เท่านั้น ... ถือว่าเป็นสกิลที่เหมาะกับคนติดเหล้ามากครับ 555+
  • Level 3 - Drunken Technique (9/10) - โจมตี 2 ครั้งแบบ Flurry of Blows แต่จะเพิ่มระยะเดินให้เรา 3 เมตร และทำให้เราได้ผลจากการ Disengage ไม่โดน Opportunity Attacks ของศัตรู นับเป็นการเล่นเทคนิคแบบต่อยแล้วหนีที่แท้ทรูเลย
  • Level 4 - Intoxicating Strike (7/10) - เมื่อโจมตีศัตรูด้วยมือเปล่า จะมีโอกาสทำให้ศัตรูติดเมาหรือ Drunk ได้ ถ้าศัตรูทอย Con Save ไม่ผ่าน ... อาจจะดูเหมือนไม่ดี แต่มันใช้ร่วมกับอีกสกิลที่ได้ตอนเลเวล 4 นี้ได้ดีเลยครับ
  • Level 4 - Life of the Party (7/10) - เป็นสกิลใช้คู่กับ Intoxicating Strike เพราะเมื่อสกิลที่ว่ามาติด จะทำให้เราได้ +1 AC และ +1 Attack Rolls กับศัตรูที่ติดสถานะเมาเหล้าครับ
  • Level 6 - Leap to Your Feet (3/10) - ตอนลุกจากสถานะล้ม Prone จะทำให้เราใช้ Movement Point แค่ 1.5 เมตรเท่านั้น ... ก็ไม่ได้ดีอะไรมากครับ เพราะเอาจริงๆเราก็ไม่อยากให้ตัวเราติด Prone เท่าไหร่อยู่แล้ว
  • Level 6 - Redirect Attack (6/10) - เมื่อศัตรูโจมตีเราพลาดเราสามารถใช้ 1 Ki กับ Reaction ในการโจมตีสวนไปได้ ... เป็นสกิลที่ดี แต่มีเสื้อที่สามารถให้สกิล Counter ที่ไม่ต้องใช้ Ki ได้ ทำให้สกิลนี้ไม่ได้ใช้งานเพราะต้องเปลืองค่า Ki ครับ
  • Level 9 - Sobering Realisation (3/10) - ใช้ Ki 1 แต้มโจมตีด้วยมือเปล่าพร้อมเพิ่มดาเมจแบบ Psychic และเมื่อโจมตีโดนศัตรูเราจะเสียสกิล Life of the Party ไป ... ดูเหมือนจะดีแต่ไม่ได้ดีเลยครับ เพราะต้องมาถึงเวล 9 แถมยังไม่ได้ได้เพิ่มทุกฮิทแบบ Manifestation of Mind ของ Way of the Open Hand ด้วย
  • Level 11 - Drunkard's Luck (1/10) - เมื่อเราต้องทอย Ability Check, Attack Roll, หรือ Saving Throw แบบติด Disadvantage เราสามารถใช้ Ki 2 แต้มทำให้ไม่ติด Disadvantage ได้ ... ผมเรียกว่าเป็นสกิลที่ขยะมากครับ เพราะทั้งเปลืองและไม่ได้มีประโยชน์อะไรเลย 555+
Milestones ของ Paladin (Part 1)
1. Paladin (Main)
อัศวินแห่งแสง ผู้ผดุงความยุติธรรม(หรือต่อต้าน) เน้นการใส่เกราะหนักและใช้พลังแห่งแสงศักดิ์สิทธิ์ในการโจมตีศัตรู ... แต่การเล่นคลาสนี้ต้องระวังในการกระทำมากนะครับ เพราะการทำผิดคำสาบานจะทำให้เราใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้ แต่ก็ดีตรงที่เราสามารถหันไปเป็นคลาส Oathbreaker ได้ครับ


Milestones
  • Level 1 - Divine Sense (5/10) - ใช้ Bonus Action ในการได้ Advantage เวลาโจมตีศัตรูประเภท Celestials, Fiends, และ Undead เป็นเวลา 2 เทิร์น ... ไม่ได้มีประโยชน์มาก ยกเว้นในบางช่วงที่ศัตรูเป็น Undead ซะส่วนใหญ่
  • Level 1 - Lay on Hands (7/10) - เวทย์ฮีลเดี่ยว สามารถใช้ Lay on Hands Charges ฮีลตัวเองหรือเพื่อนในระยะประชิดได้ 2xเลเวล Paladin ต่อ 1 ชาร์จ ... เป็นสกิลสายฮีลที่ดีมากอันนึง
  • Level 2 - Divine Smite (10/10) - ใช้อาวุธประชิดโจมตีด้วยพลังแสงศักดิ์สิทธิ์ เป็นสกิลโจมตีที่ใช้ Slot เวทย์ และสามารถตั้งเป็น Reaction เพื่อใช้ทำดาเมจซ้อนการโจมตีปกติได้ ... เป็นสกิลโจมตีหลักของคลาสนี้เลย
  • Level 3 - Divine Health (8/10) - ทำให้ตัวเรามีภูมิคุ้มกันโรค Disease ทุกอย่างได้
  • Level 5 - Extra Attack (10/10) - โจมตีได้ 2 ครั้งต่อ 1 Action Point อันนี้แน่นอนครับ ของจำเป็นสำหรับสายโจมตีเลย
  • Level 6 - Aura of Protection (9/10) - ใช้ Cha Modifier ของเราเพิ่มโบนัสให้ Saving Throws ของเราและเพื่อนในระยะ 3 เมตร ... เป็นสกิลถาวรที่ใช้แล้วติดตลอดเวลา ใช้ได้ดีมากในการบัฟเพื่อนเมื่อเราอยู่ใกล้ๆ
  • Level 10 - Aura of Courage (6/10) - ออร่าป้องกันไม่ให้เราและเพื่อนในระยะ 3 เมตรติดสถานะ Frightened ได้ ... ใช้ได้ดี แต่ไม่คุ้มกับการอัพเลเวล 10 เท่าไหร่
  • Level 11 - Improved Divine Smite (3/10) - เพิ่มดาเมจแสง 1-8 หน่วยเมื่อเราโจมตีปกติ ... เป็นสกิลเวล 11 ที่ไม่คุ้มอย่างยิ่งครับ

2. Subclass: Oath of the Ancients
อัศวินผู้ถือสัตย์โบราณแห่งปกป้องธรรมชาติ เน้นการฮีลและใช้เวทย์แห่งธรรมชาติโจมตีศัตรู


Milestones เพิ่มจากคลาส Main
  • Level 1 - Healing Radiance (10/10) - ใช้ Bonus Action และ Channel Oath Charges ในการเปิดออร่าฮีลตัวเองและเพื่อนในระยะ 3 เมตรเป็นเวลา 2 เทิร์น ... เป็นเวทย์ฮีลที่ดีมากๆครับ ใช้ได้ดีตั้งแต่แรกยันจบเกมได้เลย
  • Level 3 - Nature's Wrath (5/10) - ใช้ Action Point และ Channel Oath Charges ในการตรึงศัตรูไว้กับที่ ... ไม่คุ้มเท่าที่ควรครับ
  • Level 3 - Turn the Faithless (4/10) - ใช้ Action Point และ Channel Oath Charges ทำให้ศัตรูประเภท Fey และ Fiends ทุกตัวในระยะ 9 เมตรวิ่งหนีไปจากเรา ... ใช้ได้ไม่คุ้มอีกเช่นกันครับ เพราะศัตรูประเภทนี้มีน้อยมาก
  • Level 7 - Aura of Warding (10/10) - ออร่าที่จะทำให้เราและเพื่อนในระยะ 3 เมตรลดดาเมจที่โดนจากเวทย์ลงครึ่งนึง ... เรียกได้ว่าเป็นออร่าป้องกันที่คอยลดดาเมจเวทย์ที่ดีมากๆครับ

3. Subclass: Oath of Devotion
อัศวินแห่งคุณธรรม ให้สัตย์ในการปกป้องผู้อ่อนแอ เน้นการใช้เวทย์ป้องกันเป็นหลัก


Milestones เพิ่มจากคลาส Main
  • Level 1 - Holy Rebuke (3/10) - ใช้ Action Point และ Channel Oath Charges ทำให้ศัตรูที่มาโจมตีเราโดนดาเมจแสง 1-4 หน่วย เป็นเวลา 2 เทิร์น ... ไม่คุ้มมากๆครับ เพราะใช้ทรัพยากรเยอะมากเกินกว่าประโยชน์ที่จะได้
  • Level 3 - Sacred Weapon (5/10) - ใช้ Action Point และ Channel Oath Charges เพิ่ม Cha Modifier เข้าไปให้ Attack Roll และทำให้อาวุธส่องแสงเป็นเวลา 10 เทิร์น ... เกือบจะดีแต่เช่นเคยครับ ใช้ทรัพยากรเยอะมากเกินกว่าประโยชน์ที่จะได้อีกแล้ว
  • Level 3 - Turn the Unholy (7/10) - ใช้ Action Point และ Channel Oath Charges ทำให้ศัตรูประเภท Undead และ Fiends ทุกตัวในระยะ 9 เมตรวิ่งหนีไปจากเรา ... ใช้ได้ดีในช่วงที่เจอศัตรูแบบ Undead เยอะๆครับ
  • Level 7 - Aura of Devotion (6/10) - ออร่าป้องกันไม่ให้เราและเพื่อนในระยะ 3 เมตรติดสถานะ Charmed ได้ ... ไม่ค่อยได้เจอสถานะนี้ แต่ก็เป็นออร่าป้องกันที่ดีใช้ได้ครับ

4. Subclass: Oath of Vengeance
อัศวินผู้ถือสัตย์แห่งการแก้แค้น เน้นเวทย์บัฟการโจมตีเป็นหลัก


Milestones เพิ่มจากคลาส Main
  • Level 1 - Inquisitor's Might (10/10) - ใช้ Bonus Action และ Channel Oath Charges เพิ่ม Cha Modifier ไปเป็นดาเมจแสงเป็นระยะเวลา 2 เทิร์น และทำให้ศัตรูติดสถานะ Dazed ได้ ... ใช้ได้ดีสุดๆครับสำหรับสายโจมตีด้วย Divine Smite นี่ต้องมีเลย
  • Level 3 - Abjure Enemy (7/10) - ใช้ Action Point และ Channel Oath Charges ทำให้ศัตรูติด Frightened ได้ ... ใช้ในการล็อคศัตรูได้ดีครับ
  • Level 3 - Vow of Enmity (9/10) - ใช้ Bonus Action และ Channel Oath Charges ทำให้เราได้ Advantage ในการโจมตีศัตรูตัวนั้นเป็นเวลา 10 เทิร์น ... อีกหนึ่งสกิลที่ดีมากๆครับ
  • Level 7 - Relentless Avenger (7/10) - เมื่อเราโจมตีศัตรูด้วย Opportunity Attack เราจะเดินเพิ่มได้ 4.5 เมตรในเทิร์นหน้า ... อีกสกิลที่ใช้งานได้ดีมาก แต่อาจจะมีโอกาสใช้งานน้อยกว่าอันอื่นหน่อยครับ

5. Subclass: Oathbreaker
อัศวินแห่งการตระบัดสัตย์ ผู้ใช้พลังแห่งความมืดแทนพลังศักดิ์สิทธิ์
ข้อควรระวัง: หากจะเล่นสายนี้ คุณจะไม่สามารถ Respec คลาสได้นะครับ จนกว่าคุณจะยอมกู้สัตย์(ซื้อคืนน่ะแหละ)มาก่อน ถึงจะรีคลาสได้นะ ถ้าจะเล่นสายนี้ต้องมั่นใจว่าจะไม่ Respec ก่อนนะครับ


Milestones เพิ่มจากคลาส Main
  • Level 1 - Spiteful Suffering (7/10) - ใช้ Action Point และ Channel Oath Charges ในการโจมตีศัตรูด้วยดาเมจ Necrotic 1-4 หน่วย + Cha Modifier เป็นเวลา 3 เทิร์น ... เป็นสกิลทำดาเมจที่ดีในช่วงต้นเกมครับ
  • Level 3 - Control Undead (8/10) - ใช้ Action Point และ Channel Oath Charges ในการควบคุมศัตรูที่เป็น Undead ให้มาเป็นพวกเรา 1 ตัว ... ใช้ได้ดีในช่วงที่เจอศัตรูประเภทนี้เยอะๆครับ
  • Level 3 - Dreadful Aspect (8/10) - ใช้ Action Point และ Channel Oath Charges ทำให้ศัตรูทุกตัวในระยะ 9 เมตร ติดสถานะ Frightened ได้ ... เป็นสกิลทำสถานะหมู่อีกอันที่คุ้มค่าอยู่ครับ
  • Level 7 - Aura of Hate (7/10) - ออร่าที่จะทำให้ Undead และ Fiends ทุกตัวในระยะ 3 เมตรได้ดาเมจอาวุธระยะประชิดเพิ่มเท่ากับ Cha Modifier ของคุณ ... ใช้ได้ดีมาก เสียแค่มันมีผลกับศัตรูเราด้วย
Milestones ของ Paladin (Part 2)
6. Patch 8 New Subclass: Oath of the Crown
อัศวินแห่งกฎหมายและราชบัลลังก์ คงอยู่เพื่อความถูกต้อง คุ้มครองและช่วยเหลือประชาชน


Milestones เพิ่มจากคลาส Main
  • Level 1 - Righteous Clarity (9/10) - ใช้ Bonus Action และ Channel Oath Charges เพิ่มโบนัส Proficiency เข้าไปให้กับ Attack Rolls ของเราหรือเพื่อนในทีมได้ ... ถือว่าเป็นบัฟที่ดี ใช้ได้ตั้งแต่ต้นยันจบเกมเลย
  • Level 3 - Champion Challenge (7/10) - ใช้ Bonus Action และ Channel Oath Charges ท้าทายศัตรูในระยะ 9 เมตรให้มาโจมตีเราคนเดียว หากศัตรูที่ติดสถานะนี้โจมตีคนอื่นนอกจากเรา การโจมตีจะติด Disadvantage ... เหมือนจะดี แต่มีข้อเสียคือ ถ้าศัตรูเดินออกจากระยะ 9 เมตรจากตัวเราก็จะหลุดจากสถานะนี้เช่นกัน เลยอาจจะไม่เหมาะจะเปลือง Oath Charges เพื่อสกิลนี้เท่าไหร่
  • Level 3 - Turn the Tide (9/10) - ใช้ Bonus Action และ Channel Oath Charges ฮีลทุกคนที่ไม่ใช่ศัตรูในระยะ 9 เมตร ถือว่าใช้เป็นเวทย์ฮีลเสริมที่ดีมากให้กับทีมเลย โดยเฉพาะทีมที่ไม่ได้มีฮีลเลอร์อยู่ ก็สามารถที่จะใช้สกิลนี้ฮีลหมู่ได้
  • Level 7 - Divine Allegiance (5/10) - หากเพื่อนในระยะ 1.5 เมตรจากเราโดนดาเมจ เราสามารถใช้ Reaction ฮีลให้เพื่อนได้โดยแลกกับการที่เราจะโดนดาเมจ Radiant แทนได้ ... เป็นสกิลสำหรับการเป็น Bodyguard ที่ยอมตายแทนตัวละครสำคัญได้ แต่เอาจริงๆ ไม่คุ้มค่าที่จะอัพเลเวล 7 เพื่อสกิลนี้เท่าไหร่ แถมใน Subclass อื่นก็มีออร่าที่ป้องกันได้เดือดกว่าสกิลนี้อยู่ เช่น Aura of Warding ของ Oath of the Ancients ... ทำให้สกิลนี้ไม่ได้ดีมากหากเทียบกับสกิลของ Subclass อื่นๆในเลเวลเดียวกัน
Milestones ของ Ranger
1. Ranger (Main)
พรานนักล่าผู้เชี่ยวชาญการแกะรอย(ที่ไม่มีในเกมนี้) สามารถเลือกความถนัดในเหยื่อที่เราจะล่าและเลือกความต้านทานสภาพแวดล้อมที่ถนัดได้


Milestones
  • Level 1 - Favoured Enemy (7/10) - เลือกศัตรูที่ชอบล่ามา 1 อย่าง โดยเราจะได้โบนัสต่างกันไป สามารถดูรายละเอียดของทั้ง 5 อย่างได้ที่ https://bg3.wiki/wiki/Favoured_Enemy
  • Level 1 - Natural Explorer (7/10) - เลือกสภาพแวดล้อมที่ชอบมา 1 อย่าง โดยเราจะได้โบนัสต่างกันไป สามารถดูรายละเอียดของทั้ง 5 อย่างได้ที่ https://bg3.wiki/wiki/Natural_Explorer
  • Level 5 - Extra Attack (10/10) - โจมตีได้ 2 ครั้งต่อ 1 Action Point อันนี้แน่นอนครับ ของจำเป็นสำหรับสายโจมตีเลย
  • Level 6 - Favoured Enemy+1 (6/10) - เลือกศัตรูที่ชอบล่ามาเพิ่มอีก 1 อย่าง
  • Level 6 - Natural Explorer+1 (6/10) - เลือกสภาพแวดล้อมที่ชอบมาเพิ่มอีก 1 อย่าง
  • Level 8 - Land's Stride: Difficult Terrain (3/10) - พื้นที่แบบ Difficult Terrain จะไม่ทำให้คุณเคลื่อนที่ช้าลง ... มีประโยชน์ในบางสถานการณ์ครับ แต่เวล 8 เพื่อให้ได้อันนี้ก็ไม่คุ้มนะ
  • Level 10 - Favoured Enemy+1 (5/10) - เลือกศัตรูที่ชอบล่ามาเพิ่มอีก 1 อย่าง
  • Level 10 - Natural Explorer+1 (5/10) - เลือกสภาพแวดล้อมที่ชอบมาเพิ่มอีก 1 อย่าง
  • Level 10 - Hide in Plain Sight (3/10) - สามารถใช้ Action Point ในการหายตัวและได้ +10 สำหรับ Stealth Check ... แต่เราต้องยืนเฉยๆครับ อาจจะเหมาะกับการหายตัวอยู่กับที่ให้ศัตรูหาไม่เจอ แต่ไม่สามารถเปลี่ยนตำแหน่งได้ อันนี้ผมเลยคิดว่าไม่คุ้ม

2. Subclass: Hunter
นักล่าผู้เชี่ยวชาญการใช้อาวุธ มีความสามารถในการโจมตีเป็นวงกว้าง


Milestones เพิ่มจากคลาส Main
  • Level 3 - Hunter's Prey (8/10) - เลือกสกิลโบนัสในการล่ามา 1 อย่าง (ไม่เหมือนกับ Favoured Enemy นะครับ) โดยเราจะได้โบนัสต่างกันไป สามารถดูรายละเอียดของทั้ง 3 อย่างได้ที่ https://bg3.wiki/wiki/Hunter#Level_3
  • Level 7 - Defensive Tactics (5/10) - เลือกสกิลโบนัสในการป้องกันและหลบหลีกมา 1 อย่าง สามารถดูรายละเอียดของทั้ง 3 อย่างได้ที่ https://bg3.wiki/wiki/Hunter#Level_7
  • Level 11 - Volley (10/10) - ยิงโจมตีด้วยอาวุธระยะไกลเป็นวงกว้าง 3 เมตร โดยทำดาเมจเท่ากับการโจมตีปกติ ... อันนี้คือดีมากๆครับ เพราะนับเหมือนกับการโจมตีปกติ ทำให้เราได้ประโยชน์จากการยิงเป็น AOE สำหรับสายธนูระยะไกล ต้องมีไว้ใช้งานเลย
  • Level 11 - Whirlwind Attack (8/10) - Volley เวอร์ชั่นอาวุธระยะประชิด โดยโจมตีศัตรูทุกตัวในระยะ 3 เมตรจากเรา ... ใช้ได้ดีครับ เพียงแต่ระยะมันอยู่รอบๆตัวเราเท่านั้น ทำให้เทียบกับ Volley ที่เลือกพื้นที่การยิงอย่างอิสระไม่ได้

3. Subclass: Beast Master
พรานนักล่าผู้เชี่ยวชาญในการล่าด้วยสัตว์ป่าที่เลี้ยงไว้จนเชื่อง สามารถเรียกสัตว์ป่าลูกสมุนออกมาช่วยสู้ได้


Milestones เพิ่มจากคลาส Main
  • Level 3 - Summon Companion (10/10) - เรียกสัตว์สมุนมาช่วยเราสู้ได้ มีทั้งหมด 5 แบบ ซึ่งจะมีความสามารถแตกต่างกันไป หาดูข้อมูลได้ตามนี้ครับ https://bg3.wiki/wiki/Ranger%27s_Companion
  • Level 5 - Companion's Bond (10/10) - ทำให้เราสามารถเพิ่ม Proficiency ของเราไปให้ AC และ Attack Roll ของสัตว์สมุนได้ แถมยังอัพเกรดหน้าตาและเพิ่ม HP ให้สมุนของเราด้วย ... ดีงามตามท้องเรื่องสำหรับสายรักสัตว์ครับ
  • Level 7 - Exceptional Training (8/10) - สัตว์สมุนของเราจะสามารถใช้ Dash, Disengage และ Help ได้ด้วย Bonus Action ... อาจจะไม่ได้มีประโยชน์มาก แต่ก็ได้ใช้งานอยู่ครับ
  • Level 11 - Bestial Fury (10/10) - ทำให้สัตว์สมุนของเราได้ Extra Attack หรือก็คือโจมตีได้ 2 ครั้ง ต่อ 1 Action Point แถมยังอัพเกรดหน้าตาและเพิ่ม HP ให้สมุนของเราด้วย ... ถือว่าเป็นสิ่งที่ต้องมีสำหรับนักล่าสายรักสัตว์ครับ เพราะจะทำให้สัตว์สมุนเราเก่งขึ้นแบบก้าวกระโดดเลย

4. Subclass: Gloom Stalker
นักล่าสายซุ่มเงียบ ถนัดการพรางตัวและโจมตีเปิดเทิร์นแรกอย่างรุนแรง


Milestones เพิ่มจากคลาส Main
  • Level 3 - Umbral Shroud (7/10) - ใช้ Action Point ในการหายตัวเป็นเวลา 10 เทิร์นตอนอยู่ในพื้นที่ที่มีเงามืดได้ ... เสียแค่อย่างเดียวคือ ใช้ได้ 1 ครั้ง / 1 Short Rest
  • Level 3 - Superior Darkvision (5/10) - ทำให้คุณได้ Darkvision ขั้นสุดที่มองเห็นในที่มืด 24 เมตรมา ... ผมถือว่าเป็นสกิลกลางๆครับ ไม่ได้ดีไม่ได้แย่แต่อย่างใด
  • Level 3 - Dread Ambusher (10/10) - ทำให้เราได้ +3 Initiative และเดินได้มากขึ้น 3 เมตรในเทิร์นแรก แถมเรายังสามารถใช้การโจมตีศัตรูได้แรงขึ้น 1-8 หน่วยด้วย ... ถึงจะใช้ได้แค่ 1 ครั้งต่อ 1 ไฟท์ แต่ก็ยังมีประโยชน์เยอะมากๆครับ
  • Level 3 - Dread Ambusher: Hide (6/10) - ใช้ Bonus Action ในการ Hide ได้
  • Level 7 - Iron Mind (6/10) - ทำให้เราได้ Proficiency ไปบวกใน Wis และ Int Saving Throw ได้ ... ถือว่าโอเคครับ เพราะใช้ได้ดีเวลาเจอเวทย์ล็อค แต่สำหรับสกิลเวล 7 ก็ถือว่าให้น้อยไปหน่อย
  • Level 11 - Stalker's Flurry (7/10) - เมื่อเราโจมตีพลาด จะสามารถโจมตีใหม่ได้ฟรี 1 ครั้ง / 1 เทิร์น ... เป็นสกิลเผื่อ Miss ที่ดีมากๆครับ เสียอย่างเดียวต้องมาลึกมากกว่าจะได้มาใช้ เลยไม่คุ้มเท่าไหร่

5. Patch 8 New Subclass: Swarmkeeper
นักล่าผู้เลี้ยงฝูงแมลง ผู้มีความสามารถในการบังคับฝูงแมลงเพื่อใช้ในการต่อสู้


Milestones เพิ่มจากคลาส Main
  • Level 3 - Gathered Swarm (10/10) - เลือกฝูงแมลง 1 ใน 3 แบบไว้ใช้งาน เป็น Feature หลักของ Subclass นี้เลย สามารถเปลี่ยนได้ตอนเลเวลอัพ แต่เอาจริงๆเราก็ใช้กันแค่แบบเดียวนั่นแหละ อยากรู้ว่าฝูงแมลงแบบไหนเหมาะกับคุณ ลองดูรายละเอียดได้ที่ https://bg3.wiki/wiki/Swarmkeeper#Level_3
  • Level 7 - Writhing Tide (5/10) - ใช้ Bonus Action และ Writhing Currents (ที่เพิ่งได้มาจากเลเวลนี้) ในการบินไปยังจุดต่างๆได้ แถมฝูงแมลงยังทำให้ไม่โดนสถานะบนพื้นผิวที่เราเหยียบได้อีก 10 เทิร์น ... เหมือนจะดี แต่ก็ใช้ได้แค่บางสถานการณ์เท่านั้น อาจจะเอาไว้ใช้ประโยชน์จากการบินได้ แต่การมาถึงเลเวล 7 เพื่อเอาสกิลนี้ก็ดูจะไม่คุ้มเท่าไหร่
  • Level 11 - Mighty Swarm (7/10) - เพิ่มดาเมจให้กับฝูงแมลง และยังเพิ่มสถานะในการโจมตีพิเศษของฝูงแมลงต่างๆด้วย เช่น เพิ่มผลักให้ผึ้ง, แมงกระพรุนปลดอาวุธได้ หรือแม้กระทั่งผีเสื้อก็ทำให้ศัตรูติด Slow ได้ นอกจากนั้นตอน Teleport ด้วยฝูงแมลงเราจะได้ AC+2 มาอีก 1 เทิร์น ... นับว่ามีประโยชน์หลายอย่างแต่การต้องอัพมาเลเวล 11 เพื่อสกิลนี้อาจจะไกลไปหน่อย และแทบไม่เหลือหนทางให้ Multiclass เป็นอย่างอื่นได้เลย
Milestones ของ Rogue
1. Rogue (Main)
โจรผู้เชี่ยวชาญในการก่ออาชญากรรม ถนัดการย่องเข้าไปโจมตีศัตรูหรือไขล็อคปลดกับดักให้กับทีม


Milestones
  • Level 1 - Sneak Attack (10/10) - เมื่อเราได้ Advantage ในการโจมตีหรือมีเพื่อนอยู่ใกล้ๆศัตรูตัวนั้น เราจะสามารถทำดาเมจเพิ่มได้ 1-6 หน่วย (ดาเมจจะเพิ่ม 1-6 หน่วยในทุกๆ 2 เวล) ใช้ได้ 1 ครั้ง / 1 เทิร์น ... เป็นสกิลลอบโจมตีดาเมจหลักของคลาสนี้เลย
  • Level 2 - Cunning Action: Dash/Disengage/Hide (9/10) - สามารถใช้ Dash, Disengage หรือ Hide ด้วย Bonus Action ได้ ... นับเป็นสกิลที่ดีมากครับเพราะได้ตั้งแต่เวลแรกและใช้งานได้ยาวๆเลย
  • Level 5 - Uncanny Dodge (8/10) - เมื่อศัตรูโจมตีโดนเรา เราสามารถใช้สกิลนี้ลดดาเมจที่โดนลงครึ่งนึง ใช้ได้ 1 ครั้ง / 1 เทิร์น ... เป็นสกิลที่ดีและใช้ได้เรื่อยๆ แต่เอาจริงๆถ้าเราเล่นสายนี้จะเน้นการไม่โดนศัตรูโจมตีมากกว่าครับ
  • Level 7 - Evasion (8/10) - เมื่อโดนโจมตีด้วยเวทย์แบบ Dex Sav ที่ปกติจะลดดาเมจลงครึ่งนึงเมื่อผ่าน Saving Throw ได้ จะกลายเป็นหากคุณผ่าน Saving Throw ได้จะโดนดาเมจเป็น 0 และถ้าผ่านไม่ได้จะโดนดาเมจแค่ครึ่งดียวแทน ... เป็นสกิลป้องกันพวกเวทย์โจมตีวงกว้างอย่าง Fireball ได้ดีมากๆครับ เพราะจะทำให้เรามีโอกาสไม่โดนดาเมจเลย
  • Level 11 - Reliable Talent (8/10) - เมื่อเราต้องโดน Check ใน Skill ที่เรามี Proficiency ผลลัพธ์การโรลต่ำสุดจะเป็น 10 เสมอ ... หรือพูดง่ายๆคือคุณจะไม่มีทางโรลได้ต่ำกว่า 10 ครับ เป็นสกิลที่ดีมากๆ เสียแค่ว่าต้องมาถึงเวล 11 กว่าจะได้มานี่แหละ

2. Subclass: Arcane Trickster
โจรผู้เชี่ยวชาญการเล่นกล หรือพูดง่ายๆคือ โจรผู้สามารถใช้เวทย์มนต์ได้นั่นเองครับ


Milestones เพิ่มจากคลาส Main
  • Level 3 - Mage Hand Legerdemain (10/10) - นี่คือสกิลที่ Upgrade Mage Hand โดยเฉพาะ จะทำให้ Mage Hand เราไม่มีจำกัดเวลาและจะล่องหนตลอดเวลา แถมยังสามารถเก็บของหรือใช้เครื่องมือโจรในระยะไกลได้ ...สำหรับคนเล่นสาย Mage Hand มือที่สาม ห้ามพลาดด้วยประการทั้งปวง
  • Level 9 - Magical Ambush (6/10) - ขณะที่เรา Hide อยู่ ศัตรูจะติด Disadvantage จากการ Saving Throw ต่อต้านเวทย์เรา ... ใช้ได้ดีครับ แต่เราต้อง Hidden อยู่ด้วย อาจจะไม่คุ้มมากสำหรับสกิลเวล 9

3. Subclass: Thief
โจรผู้เชี่ยวชาญด้านการย่องเบาและขโมยของ ... แค่นี้เลยครับ 555+


Milestones เพิ่มจากคลาส Main
  • Level 3 - Fast Hands (10/10) - เพิ่ม Bonus Action ให้เรา 1 แต้ม ... สั้นๆง่ายๆดีๆ พอที่หลายๆบิ้วคุณจะอัพ Thief เวล 3 เพื่อสิ่งนี้เท่านั้นเลยครับ
  • Level 3 - Second-Story Work (6/10) - ลดดาเมจจากการตกจากที่สูงได้ครึ่งนึง ... คล้ายๆของ Monk เวล 4 ครับ ก็ไม่ได้แย่ แค่ไม่ค่อยได้ใช้ประโยชน์มาก
  • Level 9 - Supreme Sneak (4/10) - สกิลที่ใช้ Action Point ในการหายตัวเป็นเวลา 10 เทิร์น ใช้ได้ 1 ครั้ง / 1 Short Rest ... มีประโยชน์อยู่แต่ไม่สมกับเป็นสกิลเลเวล 9 เท่าไหร่ครับ

4. Subclass: Assassin
โจรผู้เชี่ยวชาญในการลอบสังหาร สามารถทำดาเมจมหาศาลให้กับศัตรูที่ไม่ทันตั้งตัวได้


Milestones เพิ่มจากคลาส Main
  • Level 3 - Assassin's Alacrity (8/10) - เมื่อเราเริ่มเทิร์นแรก เราจะได้ Action Point และ Bonus Action คืนมาเต็มทันที ... โดยปกติเราจะเสีย Action ที่เราใช้ไปในการเริ่มไฟท์ เช่น ถ้าคุณโจมตีศัตรูเปิดไฟท์ คุณจะเสีย Action Point ไปเลย ทำให้สกิลนี้เหมาะมากที่จะใช้เป็นตัวเปิดไฟท์ครับ
  • Level 3 - Assassinate: Ambush (9/10) - ถ้าเราเริ่มแล้วศัตรูติด Surprised การโจมตีใส่ศัตรูที่ติด Surprised จะติดคริ 100% ... ก็ตามนั้นครับ ถ้าทำศัตรูตกใจไม่ทันตั้งตัวได้ ก็วิ่งตีคริให้สาแก่ใจกันไปเลย เสียแค่ใช้ได้แค่เทิร์นแรกเท่านั้น
  • Level 3 - Assassinate: Initiative (8/10) - ในเทิร์นแรก การโจมตีของคุณจะได้ Advantage กับศัตรูที่ยังไม่ถึงตาเดิน ... ใช้ได้ดีมากในการโจมตีด้วย Sneak Attack ครับ เสียแค่ใช้ได้แค่เทิร์นแรกเท่านั้น
  • Level 9 - Infiltration Expertise (7/10) - สามารถปลอมตัวด้วยเวทย์ Disguise Self ได้ ... เป็นสกิลที่ดีสำหรับการปลอมตัวครับ แต่ไม่คุ้มกับการอัพมาถึงเลเวล 9 เพื่อสกิลนี้

5. Patch 8 New Subclass: Swashbuckler
โจรผู้เชี่ยวชาญการดวลดาบและเล่นสกปรกสไตล์โจรสลัด


Milestones เพิ่มจากคลาส Main
  • Level 3 - Fancy Footwork (9/10) - เมื่อเราโจมตีประชิดใส่ศัตรู ศัตรูตัวนั้นจะไม่สามารถใช้ Opportunity Attacks ใส่เราได้ในเทิร์นนั้นทั้งเทิร์น ถือว่าเหมาะกับบิ้วแนว Hit and Run มากครับ
  • Level 3 - Rakish Audacity (10/10) - เพิ่ม +2 Initiative ให้เราและอัพตามเลเวล Rogue (+3 ที่เลเวล 5 และ +4 ที่เลเวล 10) แถมยังแทนที่ Sneak Attack ธรรมดาให้เป็น Rakish Sneak Attack ที่ไม่จำเป็นต้องมี Advantage ก็สามารถใช้งานได้ แค่ต้องไม่มีพันธมิตรของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอยู่ติดกันในระยะ 1.5 เมตร เรียกได้ว่าเป็นการอัพเกรด Sneak Attack ที่ดีและคุ้มค่ามากๆครับ
  • Level 4 - Dirty Tricks (8/10) - ใช้ Bonus Action เล่นทริคสกปรกเช่น ปลดอาวุธ ขว้างทรายให้ตาบอด หรือแม้กระทั่งด่าด้วย Vicious Mockery ทำร้ายจิตใจก็ยังได้ เพิ่มลูกเล่นให้เราได้ และที่ดีมากๆเพราะมันได้ตอนเลเวล 4 ที่ปกติ Rogue สายอื่นแทบไม่ได้อะไรเลย ... แต่มันก็มีข้อเสียอยู่คือใช้ Cha Modifier ในการคำนวณ Save DC (ยกเว้นปาทรายใช้ Dex) ทำให้คนที่ไม่ได้ Multiclass สายที่อัพ Cha อาจจะใช้ทริคนี้ให้ได้ผลยากกว่าสายที่อัพ Cha ไว้ด้วยครับ
  • Level 9 - Panache (3/10) - ใช้ Action เพื่อ Roll สกิล Persuation ของเราแข่งกับ Insight ของคนที่โดน ถ้าศัตรูเฟลเซฟจะติดสถานะ Panache: Disadvantage ทำให้โจมตีคนอื่นนอกจากเราแล้วจะติด Disadvantage และยังใช้ Opportunity Attacks ใส่คนอื่นนอกจากเราไม่ได้ด้วย ... เป็นสกิลป่วนศัตรูที่ดี แต่ข้อเสียคือ ต้องมาถึงเลเวล 9 เพื่อให้ได้สกิลนี้ ใช้ได้กับแค่ Humanoid แถมถ้าศัตรูที่ติดสถานะนี้โดนโจมตีโดยคนอื่นที่ไม่ใช่คนที่ใช้ Panache ก็จะทำให้หลุดจากสถานะนี้ด้วย เลยทำให้มีประโยชน์น้อยมากๆครับ โดยเฉพาะตอนที่ได้มาช่วงท้ายๆเกมแล้ว
Milestones ของ Sorcerer
1. Sorcerer (Main)
นักเวทย์ผู้ใช้พลังเวทย์ในสายต่างๆ สามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบการใช้พลังเวทย์ได้ด้วย Metamagic


Milestones
  • Level 2 - Create Spell Slot (10/10) - ในเลเวลนี้เราจะได้ Sorcery Point มา ซึ่งเราสามารถปรับเปลี่ยน SP เป็น Slot เวทย์ได้ ... เป็นการเปลี่ยนทรัพยากรไปมาที่ดี สามารถทำให้เราบริหาร Slot เวทย์ของเราได้ยืดหยุ่นขึ้นครับ
  • Level 2 - Create Sorcery Points (10/10) - กลับกันกับอันบน คือเปลี่ยน Slot เวทย์ไปเป็น Sorcery Point แทน
  • Level 2 - Metamagic+2 (10/10) - เลือก Metamagic มา 2 อัน ซึ่งระบบ Metamagic นี้เป็นจุดเด่นและจุดขายของคลาสนี้เลยครับ เพราะสามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบเวทย์ของเราได้ ... ใครอยากรู้ว่ามีอะไรให้เลือกบ้าง ดูได้จากลิ้งค์นี้เลยครับ https://bg3.wiki/wiki/Metamagic
  • Level 3 - Metamagic+1 (10/10) - เลือก Metamagic มาอีก 1 อัน โดยมีของใหม่มาให้เลือก 3 อันด้วย ... แนะนำเลือก Quickened ครับ เพราะจะสามารถทำให้เราใช้เวทย์โดยใช้ Bonus Action ได้ อันนี้ของดีที่ทุกคนต้องเลือกเลย
  • Level 10 - Metamagic+1 (7/10) - เลือก Metamagic มาอีก 1 อัน ... สำหรับใครที่ชอบระบบนี้ก็เลือกเพิ่มได้เลยครับ แต่ผมมองว่าไม่คุ้มที่จะอัพมาถึงเวล 10 เพื่อ Metamagic อันเดียว แถม 3 อันที่เราเลือกได้ตอนเวล 2-3 ก็แทบจะเพียงพอในการใช้งานอยู่แล้วครับ

2. Subclass: Wild Magic
นักเวทย์ผู้ใช้เวทย์มนต์ดิบในการโจมตีและสุ่มบัฟให้กับตัวเอง เหมาะสำหรับผู้ที่ชื่นชอบความตื่นเต้นในการลุ้นบัฟ(หรือดีบัฟ)จากการใช้เวทย์


Milestones เพิ่มจากคลาส Main
  • Level 1 - Wild Magic (5/10) - ทุกครั้งที่เราร่ายเวทย์เวล 1 ขึ้นไป จะมีโอกาส 5% ที่จะ Trigger บัฟ(หรือดีบัฟ) Wild Magic Surge แบบสุ่มได้ ... มันไม่ดีตรงที่สุ่มและมี % ในการติดน้อยนี่แหละครับ ใครอยากรู้ว่ามีเอฟเฟคอะไรบ้าง ลองดูได้ตามนี้เลย https://bg3.wiki/wiki/Wild_Magic_(passive_feature)
  • Level 1 - Tides of Chaos (7/10) - ใช้ Tides of Chaos Charge ทำให้เราได้ Advantage สำหรับ Attack Roll, Ability Check, หรือ Saving Throw ครั้งถัดไป และเพิ่มโอกาสติด Wild Magic Surge จากปกติ 5% เป็น 50% ... เป็นสกิลที่ต้องใช้เลยครับ เพราะจะทำให้เราติด Wild Magic Effect ได้มากขึ้นเยอะ
  • Level 6 - Bend Luck (5/10) - ใช้แต้ม Sorcery Point 2 แต้ม ในการเพิ่มหรือลด Attack roll, Ability Check, หรือ Saving throw ได้ โดยสามารถใช้เป็น Reaction ได้ด้วย ... เป็นการบัฟหรือดีบัฟที่ดีครับ แต่อาจจะไม่คุ้มเท่ากับสกิลเวล 6 ของคลาสอื่นๆ
  • Level 11 - Controlled Chaos (5/10) - เมื่อศัตรูร่ายเวทย์ เราสามารถใช้ Reaction ทำให้เกิด Wild Magic Surge บริเวณที่ศัตรูอยู่ได้ ... ประเด็นคือ เราไม่สามารถเลือกว่าจะได้อะไร ถ้าศัตรูได้ของดีก็เหมือนเราไปบัฟให้มันครับ 555+

3. Subclass: Draconic Bloodline
นักเวทย์ผู้ใช้สายเลือดมังกร มีความแข็งแกร่งกว่านักเวทย์ทั่วไป และสามารถใช้สกิลธาตุตามสายเลือดมังกรที่เลือกได้มากกว่าปกติ


Milestones เพิ่มจากคลาส Main
  • Level 1 - Draconic Resilience (10/10) - เมื่อเราไม่ได้ใส่เกราะ เราจะมี Base AC จาก 10 เป็น 13 เทียบเท่ากับเวทย์ Mage Armour แต่ไม่ Stack กัน ... ก็เหมือนกับเราได้ Mage Armour ถาวรฟรีๆครับ
  • Level 1 - Draconic Resilience: Hit Points (10/10) - ได้เลือดเพิ่ม 1 หน่วยต่อ 1 เลเวลของคลาส Sorcerer
  • Level 1 - Draconic Ancestry (7/10) - เลือกบรรพบุรุษมังกรมา 1 สาย ซึ่งแต่ละสายจะมีเวทย์มนต์ฟรีและ Affinity ของธาตุไม่เหมือนกัน สามารถดูข้อมูลแต่ละอันได้ที่ https://bg3.wiki/wiki/Draconic_Bloodline#Level_1
  • Level 6 - Elemental Affinity: Damage (8/10) - เมื่อเราร่ายเวทย์ทำดาเมจที่เป็นธาตุเดียวกับสายเลือดมังกรของเรา จะทำดาเมจเพิ่มได้เท่ากับ Cha Modifier ... อันนี้คือดีและคุ้มมากครับ สำหรับผู้ที่ชอบร่ายเวทย์แล้วเน้นเป็นธาตุๆไป จะทำให้ดาเมจเวทย์ของคุณสูงขึ้นได้
  • Level 6 - Elemental Affinity: Resistance (4/10) - เมื่อเราร่ายเวทย์ทำดาเมจที่เป็นธาตุเดียวกับสายเลือดมังกรของเรา จะสามารถใช้ Reaction และ Sorcery Point ในการได้ Resistance ดาเมจธาตุนั้นๆได้ ... ไม่ค่อยมีประโยชน์มากครับ ยกเว้นคุณจะสู้กับศัตรูที่ใช้ธาตุเดียวกับคุณ
  • Level 11 - Fly (6/10) - สามารถบินได้โดยใช้แค่แต้มการเคลื่อนที่เท่านั้น ... เอาไว้ใช้สำหรับเปลี่ยนตำแหน่งได้ดีครับ แต่ไม่คุ้มเท่าไหร่กับสกิลเลเวล 11

4. Subclass: Storm Sorcery
นักเวทย์ผู้เชี่ยวชาญในการใช้เวทย์พายุสายฟ้า มีความสามารถในการโจมตีและป้องกันดาเมจประเภทสายฟ้าและพายุโดยเฉพาะ


Milestones เพิ่มจากคลาส Main
  • Level 1 - Tempestuous Magic (9/10) - หลังร่ายเวทย์เวล 1 ขึ้นไป คุณจะสามารถใช้ Bonus Action ในการบินไปตำแหน่งอื่นในระยะ 9 เมตรได้โดยไม่โดน Opportunity Attacks ... ถือเป็นการใช้ Bonus Action ที่ดีในช่วงแรกๆครับ เพราะสามารถย้ายตำแหน่งหลบพวกศัตรูระยะประชิดได้
  • Level 6 - Heart of the Storm (5/10) - เมื่อเราร่ายเวทย์ Lightning หรือ Thunder จะสามารถทำดาเมจ Lightning หรือ Thunder ใส่ศัตรูทุกตัวในระยะ 6 เมตรได้ เท่ากับ เลเวล Sorcerer/2 หน่วย ... เป็นดาเมจเสริมที่ใช้ได้ครับ แต่อาจจะไม่ได้ดีมาก เพราะเราคงไม่ไปอยู่กลางวงศัตรูเพื่อทำดาเมจแค่ไม่กี่หน่วย
  • Level 6 - Heart of the Storm: Resistance (9/10) - ได้ Resistance ของดาเมจประเภท Lightning และ Thunder มาถาวร
  • Level 11 - Storm's Fury (7/10) - เมื่อคุณโดนโจมตีระยะประชิด คุณจะสามารถใช้ Reaction ทำดาเมจสายฟ้าเท่ากับเลเวล Sorcerer ใส่ศัตรูตัวนั้น และผลักออกไป 6 เมตรได้ ... ใช้งานได้ดีเวลาโดนประชิดตัวครับ แต่การอัพมาเวล 11 เพื่อเอาสกิลนี้อาจจะไม่คุ้มเท่าไหร่

5. Patch 8 New Subclass: Shadow Magic
นักเวทย์ผู้เชี่ยวชาญวิชาเวทย์แห่งความมืดและเงา


Milestones เพิ่มจากคลาส Main
  • Level 1 - Eyes of the Dark (5/10) - มองเห็นในที่มืดได้ไกล 24 เมตร ... ก็ตามนั้นครับ อันนี้ผมถือว่ากลางๆ เพราะหลายๆเผ่าในเกมนี้ก็มี Darkvision อยู่แล้วแม้จะไม่ได้ไกลมากก็ตาม
  • Level 1 - Strength of the Grave (7/10) - เมื่อเราเลือดลดเหลือ 0 จะกลับมาเหลือเลือด 1 แทน ก็นับเป็นสกิลกันตายที่ดีอันนึงครับ เพราะได้มาตั้งแต่เลเวล 1 เลย
  • Level 3 - Eyes of the Dark: Darkness (9/10) - ใช้ Action และ Sorcery Point 2 แต้มในการร่ายเวทย์ Darkness แบบไม่เสีย Slot เวทย์ ก็นับว่าเป็นการใช้งานแทนกันที่ดี แต่ที่ทำให้สกิลนี้ได้คะแนนเยอะเพราะว่ามันจะทำให้เรามองเห็นในเวทย์นี้ได้ด้วยโดยไม่ต้องใช้อุปกรณ์เสริมใดๆเลย
  • Level 6 - Hound of Ill Omen (9/10) - ใช้ Bonus Action และ Sorcery point 3 แต้มในการ Summon Shadow Mastiff ที่ชื่อ Nimbus มาช่วยเราสู้ได้ ซึ่งถ้าน้องโดนโจมตีประชิดแบบที่ไม่ใช่ดาเมจแสง ก็จะแยกร่างเป็นเงาออกมาเพิ่มอีก แถมน้องยังใช้คู่กับสกิล Accursed Spectres ของ Hexblades ได้ดีอีกด้วย เป็นอีก 1 Summon ที่สายมืดต้องมีไว้ใช้งานครับ
  • Level 11 - Shadow Walk (7/10) - ใช้ Bonus Action วาร์ปตัวเองไปในจุดที่มืดได้ คล้ายๆ Shadow Step ของ Way of Shadow Monk แต่สกิลนี้สามารถเริ่มวาร์ปที่จุดสว่างได้เลย แถมหลังวาร์ปจะได้ผลของ Metamagic: Distant Spells มาฟรีๆอีกด้วย ... เสียก็แต่จะได้สกิลนี้มาตอนเลเวล 11 เท่านั้น ซึ่งไม่คุ้มค่าเท่าไหร่ที่จะอัพเลเวล 11 มาเพื่อสกิลนี้
Milestones ของ Warlock
1. Warlock (Main)
นักรบผู้ทำสัญญากับเหล่าเทพและปีศาจ สามารถผูกพันธะกับอาวุธ และใช้เวทย์มนต์ที่เรียกว่า Pact Magic ได้


Milestones
  • Level 1 - Pact Magic (7/10) - สามารถใช้เวทย์ Pact Magic ได้ โดยเวทย์จะเป็นเลเวลสูงสุดเสมอ และสามารถฟื้น Slot ได้ทุกๆการ Short Rest ... สามารถดูรายชื่อเวทย์ที่ใช้ได้ตามนี้ครับ https://bg3.wiki/wiki/Warlock/spells
  • Level 2 - Eldritch Invocations (9/10) - เลือก Eldritch Invocations มา 2 อัน เอาไว้เพิ่มความสามารถของเรา สามารถดูรายการทั้งหมดได้ที่นี่ครับ https://bg3.wiki/wiki/Eldritch_Invocation
  • Level 3 - Pact Boon (8/10) - เลือกพันธะสัญญา Pact Boon ได้ 1 อันจาก 3 อัน ... สามารถดูรายละเอียดทั้งหมดได้ที่นี่ครับ https://bg3.wiki/wiki/Pact_Boon
  • Level 5 - Eldritch Invocation+1 (7/10) - เลือก Eldritch Invocations เพิ่ม 1 อัน
  • Level 5 - Deepened Pact (7/10) - อัพเกรดพันธะ Pact Boon ให้สามารถโจมตี Extra Attack หรือมีเวทย์ที่ร่ายเพิ่มได้ ดูรายละเอียดเพิ่มได้ที่นี่ครับ https://bg3.wiki/wiki/Deepened_Pact
  • Level 7 - Eldritch Invocation+1 (6/10) - เลือก Eldritch Invocations เพิ่ม 1 อัน
  • Level 9 - Eldritch Invocation+1 (5/10) - เลือก Eldritch Invocations เพิ่ม 1 อัน
  • Level 11 - Mystic Arcanum (7/10) - เลือกเวทย์เลเวล 6 มา 1 อัน จากทั้งหมด 5 อัน และจะสามารถใช้เวทย์นี้ได้ 1 ครั้ง / 1 Long Rest ... สามารถดูรายชื่อเวทย์ได้ที่นี่ครับ https://bg3.wiki/wiki/Mystic_Arcanum
  • Level 12 - Eldritch Invocation+1 (4/10) - เลือก Eldritch Invocations เพิ่ม 1 อัน ... แต่การอัพ Single Class เพื่อให้ได้อันนี้มาก็ไม่คุ้มครับ

2. Subclass: The Fiend
ผู้ทำพันธะสัญญากับปีศาจ สามารถใช้เวทย์มนต์และสกิลแห่งไฟนรกได้


Milestones เพิ่มจากคลาส Main
  • Level 1 - Dark One's Blessing (8/10) - เมื่อเราฆ่าศัตรูได้ เราจะได้เลือดสำรอง เท่ากับ Cha Modifier + เลเวล Warlock หน่วย ... ใช้ได้ดีตั้งแต่แรกยันจบเกมครับ
  • Level 6 - Dark One's Own Luck (7/10) - สามารถเพิ่มโบนัส 1-10 แต้ม เวลาโดน Ability Check ได้ ใช้ได้ 1 ครั้ง / 1 Short Rest ... ใช้ได้ดีเวลาอยู่ในบทสนทนาครับ
  • Level 10 - Fiendish Resilience (8/10) - เลือกรับ Resistance ของดาเมจ 1 ประเภทได้ สามารถเลือกได้ 1 ครั้ง / 1 Short Rest ... อันนี้คือดีครับ เพราะคุณจะเลือกป้องกันดาเมจใดๆก็ได้ ขึ้นอยู่กับสถานการณ์เลย

3. Subclass: The Great Old One
ผู้ทำพันธะสัญญากับสิ่งมีชีวิตโบราณบางอย่าง สามารถใช้พลังเวทย์ควบคุมสิ่งต่างๆได้


Milestones เพิ่มจากคลาส Main
  • Level 1 - Mortal Reminder (9/10) - เมื่อเราโจมตีติดคริ ศัตรูตัวนั้นและศัตรูรอบๆมีโอกาสติด Frightened ได้ ... เรียกได้ว่าสามารถทำคริแล้วติดกลัวหมู่ได้เลย ของดีมากๆ
  • Level 6 - Entropic Ward (6/10) - ใช้ Reaction ทำให้ศัตรูที่โจมตีเราติด Disadvantage สำหรับ Attack Roll เวลาโจมตีเรา ถ้าศัตรูตีพลาด เราจะได้ Advantage สำหรับ Attack Roll ของเราจนถึงเทิร์นถัดไป ใช้ได้ 1 ครั้ง / 1 Short Rest ... เรียกว่าเป็นสกิลกลางๆไม่ดีไม่แย่ครับ
  • Level 10 - Thought Shield: Psychic Resistance (6/10) - ทำให้เราได้ Resistance ดาเมจแบบ Psychic มาครับ
  • Level 10 - Thought Shield: Psychic Reflection (5/10) - เมื่อคุณโดนดาเมจ Psychic ศัตรูที่ทำดาเมจจะโดนดาเมจ Psychic เท่ากันครับ ... เป็นสกิลสะท้อนดาเมจที่ดี แต่เอาจริงๆในเกมมีศัตรูที่ทำดาเมจประเภทนี้ไม่เยอะมากเท่าไหร่

4. Subclass: The Archfey
ผู้ทำพันธะสัญญากับเหล่า Lord และ Lady แห่งพวก Fey มีพลังในการปกป้องตัวเองจากสถานะต่างๆหรือใช้สถานะต่างๆโจมตีศัตรู


Milestones เพิ่มจากคลาส Main
  • Level 1 - Fey Presence (7/10) - ใช้ Action Point ในการทำสถานะ Charmed หรือ Frightened ใส่ศัตรูได้ ใช้ได้ 1 ครั้ง / 1 Short Rest ... สำหรับสายป่วนจิตใจ อันนี้คือดีใช้ได้ครับ
  • Level 6 - Misty Escape (6/10) - เมื่อคุณโดนดาเมจ จะสามารถใช้ Reaction เพื่อหายตัวได้ และในเทิร์นถัดไปจะสามารถใช้ Misty Step ได้ ใช้ได้ 1 ครั้ง / 1 Short Rest ... เป็นสกิลป้องกันที่ดีครับ แต่เสียดายใช้ได้แค่ 1 ครั้งแล้วต้องพักเพื่อรีสกิล
  • Level 10 - Beguiling Defences (3/10) - เราจะไม่สามารถติดสถานะ Charmed ได้ ... ไม่คุ้มเลยครับที่จะอัพเวล 10 เพื่อสกิลนี้

5. Patch 8 New Subclass: The Hexblade
ผู้ทำพันธะสัญญากับความมืดบางอย่างใน Shadowfell มีพลังในการต่อสู้ด้วยอาวุธ และเรียกภูติผีมาช่วยต่อสู้ได้


Milestones เพิ่มจากคลาส Main
  • Level 1 - Hex Warrior (8/10) - ทำให้เราใส่เกราะ Medium ถือโล่และอาวุธสาย Martial ได้ เป็น Passive เสริมที่ดีมากสำหรับ Warlock เลเวล 1
  • Level 1 - Bind Hexed Weapon (10/10) - ใช้ Action ในการผูกพันธะกับอาวุธในมือ ทำให้ใช้ Cha Modifier ในการโจมตี หลุดมือไม่ได้ (และขว้างไม่ได้) แถมในการโจมตีโดนศัตรูจะมีโอกาสที่ศัตรูจะติดสถานะ Hexblade's Curse ด้วย เรียกได้ว่าเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับคนที่ไม่อยากอัพไปถึงเลเวล 3 เพื่อเอา Pact Boon Weapon เลยครับ เพราะได้ตั้งแต่เลเวล 1 เลย
  • Level 1 - Hexblade's Curse (7/10) - ใช้ Bonus Action สาปใส่ศัตรู ทำให้เราสามารถลดการทอยเต๋าเพื่อให้ติดคริลงได้ 1 แต้ม แถมได้ดาเมจเพิ่มเท่ากับ Proficiency Bonus ด้วย นอกจากนี้ถ้าศัตรูตาย เราจะได้ฮีลอีก ... เสียก็แค่ใช้ได้ 1 ครั้ง / 1 Short Rest เท่านั้น แต่คำสาปนี้เป็นหัวใจหลักในการเล่น Hexblades เลยครับ
  • Level 6 - Accursed Spectre (8/10) - ใช้ Reaction ใส่ศัตรูที่ถูกสาปด้วย Hexblade's Curse เมื่อมันตาย จะทำให้เรียกภูติวิญญาณออกมาช่วยเราสู้ได้ โดยระดับจะต่างกันไปตามไซส์ของศัตรูตัวนั้น แถมเรียกออกมาได้ไม่จำกัดจำนวนด้วย ... ฟังดูดีใช่มั๊ยครับ มาๆ มาดูข้อเสียกัน คือ ไม่สามารถบังคับโดยตรงได้ อยู่ได้แค่ 10 เทิร์น และใช้กับพวก Undead ไม่ได้ครับ
  • Level 10 - Armour of Hexes (6/10) - เมื่อศัตรูที่ติด Hexblade's Curse โจมตีเรา เราสามารถใช้ Reaction ในการทำให้ดาเมจไร้ผล (มีโอกาส 50/50) นับเป็นสกิลป้องกันที่ดี เสียแค่ต้องเป็นศัตรูที่โดนเราสาปเท่านั้น
Milestones ของ Wizard (Part1)
1. Wizard (Main)
พ่อมดแม่มดผู้สามารถใช้เวทย์มนต์ได้อย่างหลากหลาย โดยสามารถเรียนเวทย์มนต์จากม้วนคัมภีร์ได้


Milestones
  • Level 1 - Learn Spells from Scrolls (10/10) - อันนี้ไม่ใช่สกิลใดๆ แต่เป็น Feature ของคลาสนี้ครับ โดยเราสามารถเลือกเรียนเวทย์ของ Wizard ได้ทุกเวทย์ ย้ำว่าทุกเวทย์ จากม้วนคัมภีร์(และจ่ายเงิน) เพื่อให้ใช้เวทย์นั้นได้แบบถาวร โดยจะเรียนเวทย์ได้ตามเลเวลของ Slot เวทย์ที่เรามีอยู่ในตอนนั้น เช่น ถ้าคุณมี Slot สูงสุดแค่เวล 4 จะไม่สามารถเรียนเวทย์เลเวล 5-6 ได้ ... หลายๆบิ้วของผมเองก็มีพ่วง Wizard 1 เพื่อให้ได้ความสามารถนี้มาครับ
  • Level 1 - Arcane Recovery (10/10) - สามารถใช้ Arcane Recovery Charges ฟื้นคืน Slot เวทย์ได้ ... ก็ได้ผลตามนั้นครับ ไม่มีอะไรอธิบายเพิ่ม

2. Subclass: Abjuration School
พ่อมดแม่มดผู้เชี่ยวชาญเวทย์แห่งการป้องกัน


Milestones เพิ่มจากคลาส Main
  • Level 2 - Abjuration Savant (5/10) - เรียนเวทย์มนต์ประเภท Abjuration จะใช้เงินแค่ 25 ทองต่อ 1 เลเวลเวทย์ ... เวทย์สายอื่นใช้เงินเท่าเดิมครับ
  • Level 2 - Arcane Ward (10/10) - สกิลป้องกันที่ดีมากๆ สามารถมีชาร์จ Ward ได้เท่ากับสองเท่าของเลเวล Wizard เรา และจะเพิ่มได้เวลาเราใช้เวทย์สาย Abjuration โดยเพิ่มตามเลเวลเวทย์นั้นๆ เมื่อเรามี Arcane Ward อยู่เราจะลดดาเมจที่โดนลงตามจำนวนชาร์จ และทำให้ชาร์จลดลงไป 1 หน่วย ... เรียกได้ว่าใครอยากเล่นสายอมตะ ต้องพึ่งพาสกิลนี้เลยครับ อัพดีๆคือศัตรูตีไม่เข้ากันเลยทีเดียว
  • Level 6 - Projected Ward (8/10) - เมื่อเพื่อนโดนโจมตี เราสามารถใช้ Reaction และชาร์จของ Ward ไปลดดาเมจให้เพื่อนได้ ... เป็นสกิลที่ทำให้ Ward ของเราปกป้องเพื่อนได้ดีมากๆ
  • Level 10 - Improved Abjuration (10/10) - การ Short Rest จะสามารถเพิ่มชาร์จของ Arcane Ward ให้เราเท่ากับ เลเวลของ Wizard ... นี่คือสกิลเทพที่จะทำให้คุณคงชาร์จของ Ward ได้นานขึ้นมากๆครับ

3. Subclass: Conjuration School
พ่อมดแม่มดผู้เชี่ยวชาญเวทย์แห่งการสร้างสรรค์สิ่งต่างๆ


Milestones เพิ่มจากคลาส Main
  • Level 2 - Conjuration Savant (5/10) - เรียนเวทย์มนต์ประเภท Conjuration จะใช้เงินแค่ 25 ทองต่อ 1 เลเวลเวทย์ ... เวทย์สายอื่นใช้เงินเท่าเดิมครับ
  • Level 2 - Minor Conjuration: Create Water (7/10) - สามารถใช้เวทย์สร้างน้ำฟรีได้ 1 ครั้ง / 1 Short Rest ... ใช้ได้ดีในการทำให้ศัตรูเปียกก่อนจะทำดาเมจน้ำแข็งหรือสายฟ้าใส่ศัตรู
  • Level 6 - Benign Transposition: Teleport (7/10) - วาร์ปเราและเพื่อน 1 คนไปยังจุดต่างๆในระยะ 9 เมตรได้ เมื่อใช้แล้วจะไม่สามารถใช้อีกได้จนกว่าจะ Long Rest หรือใช้เวทย์ Conjuration เวล 1 ขึ้นไป ... ใช้ในการเคลื่อนที่หรือหลบหนีตอนฉุกเฉินได้ดี
  • Level 10 - Focused Conjuration (5/10) - เมื่อเราโดนดาเมจระหว่างการ Concentrate เวทย์สาย Conjuration จะไม่ทำให้เราหลุดสมาธิจากเวทย์นั้น ... เกือบดีครับ แต่เวทย์ Conjuration ไม่ได้มีเวทย์ Concentrate ดีๆเยอะเท่าไหร่ เลยอาจจะทำให้ไม่ได้ใช้ประโยชน์มากนัก

4. Subclass: Divination School
พ่อมดแม่มดผู้เชี่ยวชาญเวทย์แห่งการทำนายและปรับเปลี่ยนอนาคต


Milestones เพิ่มจากคลาส Main
  • Level 2 - Divination Savant (5/10) - เรียนเวทย์มนต์ประเภท Divination จะใช้เงินแค่ 25 ทองต่อ 1 เลเวลเวทย์ ... เวทย์สายอื่นใช้เงินเท่าเดิมครับ
  • Level 2 - Portent (8/10) - สกิลนี้จะทำให้เราได้ Potent Dice มา 2 ลูก เราจะใช้เต๋านี้และ Reaction ในการเปลี่ยนผลลัพธ์การ Roll เต๋าของ Attack Roll หรือ Saving Throw "ทุกอย่าง" ที่เกิดขึ้นในระยะ 18 เมตรจากเราได้ ... เรียกได้ว่าศัตรูหรือเพื่อนใช้อะไรที จะมี Reaction ขึ้นมาตลอดเวลาจนกว่าจะใช้หมดเลยครับ ถือเป็นสกิลที่ดีมากๆอันนึงเลย
  • Level 6 - Expert Divination (5/10) - เมื่อเรา Short Rest แล้วเราจะได้คำทำนายมา เมื่อเราทำคำทำนายสำเร็จ เราจะได้ Potent Dice คืนมาได้ ... เอาจริงๆส่วนตัวผมก็ยังไม่เคยลองเลยว่าเป็นยังไง ใครลองมาแล้วมาเล่าสู่กันฟังได้นะครับ 555+
  • Level 10 - Third Eye: Darkvision (5/10) - ทำให้เราสามารถได้สกิล Superior Darkvision มองเห็นในที่มืด 24 เมตรมา โดยไม่เสีย Slot เวทย์ ใช้ได้ 1 ครั้ง / 1 Long Rest ... อาจจะไม่ได้ดีมากแล้วแต่ว่าคุณเล่นเผ่าอะไรครับ
  • Level 10 - Third Eye: See Invisibility (8/10) - ทำให้เราได้สกิล See Invisibility มองเห็นพวกล่องหนในระยะ 9 เมตรได้ โดยไม่เสีย Slot เวทย์ ใช้ได้ 1 ครั้ง / 1 Long Rest ... อันนี้เหมาะมากกับการรับมือศัตรูที่ล่องหนได้ครับ

5. Subclass: Enchantment School
พ่อมดแม่มดผู้เชี่ยวชาญเวทย์แห่งการสะกดจิตและควบคุมจิตใจ


Milestones เพิ่มจากคลาส Main
  • Level 2 - Enchantment Savant (5/10) - เรียนเวทย์มนต์ประเภท Enchantment จะใช้เงินแค่ 25 ทองต่อ 1 เลเวลเวทย์ ... เวทย์สายอื่นใช้เงินเท่าเดิมครับ
  • Level 2 - Hypnotic Gaze (8/10) - สามารถใช้ Action Point สะกดจิตให้ศัตรูติดสถานะ Charmed ได้ 2 เทิร์น และสามารถยืดระยะเวลาได้เรื่อยๆอีก 2 เทิร์น และการสะกดจิตจะจบลงหลังศัตรูโดนดาเมจ ใช้ได้ 1 ครั้ง / 1 Long Rest ... เป็นเวทย์สะกดจิตที่ดีเพราะได้มาตั้งแต่แรกๆเลยครับ
  • Level 6 - Instinctive Charm (5/10) - ใช้ Reaction สะกดจิตศัตรูที่มาโจมตีเราได้ ถ้าศัตรูตัวนั้นต่อต้านเราได้ จะไม่สามารถสะกดจิตมันอีกได้จนกว่าจะ Long Rest ... ไม่ค่อยดีมากเท่าไหร่ แต่ก็สามารถใช้เพื่อป้องกันศัตรูโจมตีเราต่อได้ครับ
  • Level 10 - Split Enchantment (9/10) - สามารถใช้เวทย์ Enchantment ที่ปกติเลือกเป้าหมายได้ตัวเดียว ให้เลือกเป้าหมาย 2 ตัวได้ เช่น Hold Person หรือ Hold Monster ... ที่สำคัญ มันเป็นสกิล Passive ที่เปิดปิดได้และไม่เสียอะไรเพิ่มนอกจาก Slot เวทย์ที่ใช้ร่ายเวทย์นั้น เป็นของดีทีเดียวครับ เสียแค่ต้องอัพมาจนเวล 10 ถึงจะได้
Milestones ของ Wizard (Part2)
6. Subclass: Evocation School
พ่อมดแม่มดผู้เชี่ยวชาญเวทย์แห่งการโจมตีด้วยพลังธาตุต่างๆ


Milestones เพิ่มจากคลาส Main
  • Level 2 - Evocation Savant (5/10) - เรียนเวทย์มนต์ประเภท Evocation จะใช้เงินแค่ 25 ทองต่อ 1 เลเวลเวทย์ ... เวทย์สายอื่นใช้เงินเท่าเดิมครับ
  • Level 2 - Sculpt Spells (10/10) - ทำให้เวทย์ Evocation วงกว้างของเราไม่โดนเพื่อนในทีมได้ ... เป็นของดีสำหรับสายเวทย์โจมตีที่ต้องมีครับ
  • Level 6 - Potent Cantrip (6/10) - เมื่อศัตรูสามารถผ่าน Saving Throw ของ Cantrips เราได้ ศัตรูจะยังโดนดาเมจครึ่งนึงอยู่ แต่จะไม่ติดสถานะเพิ่มเติม ... ในเวลนี้เราจะไม่ค่อยได้โจมตีด้วย Cantrips เท่าไหร่แล้วครับ แต่มีไว้ก็ไม่เสียหายอะไรสำหรับคนชอบใช้นะ
  • Level 10 - Empowered Evocation (10/10) - ใช้ Int Modifier เพิ่มดาเมจให้กับเวทย์ Evocation ทุกอัน ... ใช่ครับ แม้แต่ Smite ต่างๆของ Paladin ที่เป็น Evocation ก็ได้ประโยชน์จากสกิลนี้ด้วย ถือเป็นสกิลเพิ่มดาเมจที่ดีมากๆครับ

7. Subclass: Illusion School
พ่อมดแม่มดผู้เชี่ยวชาญเวทย์ลวงตาและเวทย์ในการหลอกล่อศัตรู


Milestones เพิ่มจากคลาส Main
  • Level 2 - Illusion Savant (5/10) - เรียนเวทย์มนต์ประเภท Illusion จะใช้เงินแค่ 25 ทองต่อ 1 เลเวลเวทย์ ... เวทย์สายอื่นใช้เงินเท่าเดิมครับ
  • Level 2 - Improved Minor Illusion (5/10) - เสริมพลังให้กับ Cantrips Minor Illusion ให้ร่ายด้วย Bonus Action ได้และร่ายขณะอยู่ในวง Silence ได้ แถมเรายังอยู่ในโหมด Hide ได้ขณะร่ายด้วย ... สำหรับคนชอบร่ายแมวออกมาเหมียวๆก็ลองเอาไปใช้ดูได้ครับ 555+
  • Level 6 - See Invisibility (8/10) - สามารถร่ายเวทย์ See Invisibility ได้ฟรี 1 ครั้ง / 1 Short Rest โดยไม่เสีย Slot เวทย์ใดๆ
  • Level 10 - Illusory Self (6/10) - เมื่อโดนโจมตี สามารถใช้ Reaction สร้างร่างแยกทำให้ศัตรูตัวนั้นตีเราพลาด ใช้ได้ 1 ครั้ง / 1 Short Rest ... เป็นสกิลป้องกันตัวที่ดี แต่อาจจะไม่คุ้มกับสกิลเวล 10 ครับ

8. Subclass: Necromancy School
พ่อมดแม่มดผู้เชี่ยวชาญเวทย์แห่งความตายและสามารถเรียกผู้รับใช้แห่งความตายได้


Milestones เพิ่มจากคลาส Main
  • Level 2 - Necromancy Savant (5/10) - เรียนเวทย์มนต์ประเภท Necromancy จะใช้เงินแค่ 25 ทองต่อ 1 เลเวลเวทย์ ... เวทย์สายอื่นใช้เงินเท่าเดิมครับ
  • Level 2 - Grim Harvest (9/10) - เมื่อคุณฆ่าศัตรูตายด้วยเวทย์ได้คุณจะฮีลเลือดได้เท่ากับ สองเท่าของ Slot เวทย์ที่ใช้ ถ้าเวทย์นั้นเป็นสาย Necromancy จะฮีลได้ สามเท่าของ Slot เวทย์ที่ใช้ ใช้ได้ 1 ครั้ง / 1 เทิร์น ... ดีมากๆเวลาใช้เวทย์ Necromancy โจมตีศัตรูเพราะจะสามารถฮีลตัวเองได้ด้วย
  • Level 6 - Undead Thralls: Animate Dead (5/10) - จะได้เวทย์ Animate Dead มาฟรีๆ ถ้าเรายังไม่ได้เรียนเวทย์นี้มา
  • Level 6 - Undead Thralls: Additional Undead (7/10) - เมื่อเราใช้เวทย์ Animate Dead จะสามารถเรียกเพิ่มจากอีกศพได้ ... ใช้ได้ดีเวลาคุณต้องการสมุนผีดิบเยอะๆ
  • Level 6 - Undead Thralls: Better Summons (8/10) - เพิ่มคุณภาพผีดิบจากเวทย์ Animate Dead โดยเหล่าผีดิบจะได้เลือดเพิ่มขึ้นเท่ากับเลเวล Wizard ของเรา และจะได้ Proficiency ของเราไปเพิ่มดาเมจให้ด้วย ... เรียกว่ามีแต่ได้กับได้ครับสำหรับสาย Summon
  • Level 10 - Inured to Undeath (7/10) - เราจะมี Resistance ดาเมจประเภท Necrotic และเลือดสูงสุดของเราจะไม่สามารถโดนลดด้วยเวทย์ Harm ได้ ... เหมาะมากเวลาเราใช้เวทย์วงกว้างที่โดนตัวเองด้วยอย่าง Circle of Death

9. Subclass: Transmutation School
พ่อมดแม่มดผู้เชี่ยวชาญเวทย์แห่งการเล่นแร่แปรธาตุและการปรุงยา


Milestones เพิ่มจากคลาส Main
  • Level 2 - Transmutation Savant (5/10) - เรียนเวทย์มนต์ประเภท Transmutation จะใช้เงินแค่ 25 ทองต่อ 1 เลเวลเวทย์ ... เวทย์สายอื่นใช้เงินเท่าเดิมครับ
  • Level 2 - Experimental Alchemy (10/10) - ในตอนที่คราฟยา ถ้าคุณผ่าน Medicine Check DC15 ได้ จะสามารถทำยาได้ 2 ขวดจากวัตถุจำนวนปกติ ... เหมาะมากสำหรับสายนักปรุงยาครับ
  • Level 6 - Transmuter's Stone (8/10) - แปรหิน Transmuter's Stone มา 1 ประเภท โดยจะให้โบนัสแตกต่างกันไป เราจะสามารถสร้างหินได้อีกครั้งหลัง Long Rest หรือใช้เวทย์สาย Transmutation เวล 1 ขึ้นไปครับ ... ใครอยากรู้ว่าสร้างหินแบบไหนได้บ้าง กดเข้าไปดูกันเลย https://bg3.wiki/wiki/Transmuter%27s_Stone
  • Level 10 - Shapechanger (3/10) - ใช้ Action Point ในการแปลงร่างเป็นนกน้อย Blue Jay ได้ 5 เทิร์น ... ไม่คุ้มกับสกิลเลเวล 10 เลยครับ แต่ก็แล้วแต่คนชอบเนาะ 555+

10. Patch 8 New Subclass: Bladesinging
พ่อมดผู้เชี่ยวชาญการใช้ดาบกวัดแกว่งให้เป็นลำนำบทเพลงพร้อมกับร่ายเวทย์ใส่ศัตรู


Milestones เพิ่มจากคลาส Main
  • Level 2 - Bladesong (10/10) - สามารถใช้ดาบร่ายบทเพลงเพื่อเพิ่ม AC+2 เพิ่มระยะการเดิน 3 เมตร ได้ Advantage ในสกิล Acrobatic และได้ +2 Con Save เป็นระยะเวลา 10 เทิร์น ในระยะเวลานั้น เราสามารถเก็บ Charge ที่แตกต่างกันได้ 2 แบบคือ Damage Charge (จากการร่ายเวทย์เลเวล 1 ขึ้นไป) และ Healing Charge (จากการใช้ดาบโจมตีศัตรู) และเราจะสามารถใช้ Bonus Action กับสกิล Bladesong Climax เพื่อปลดปล่อยชาร์จทั้งหมดทำดาเมจใส่ศัตรูและฮีลเพื่อนเราได้ เรียกได้ว่าเป็นสกิลที่ดีและมีลูกเล่นเยอะมากๆครับ แถมใช้ได้ตั้งแต่เวลแรกๆเลยด้วย
  • Level 2 - Training in War and Song (5/10) - สามารถใส่เกราะเบา และใช้อาวุธบางประเภทได้ เรียกได้ว่าเป็น Passive พื้นฐานที่ทำให้ Bladesinger ใช้งาน Bladesong ได้ละกันครับ ไม่ได้ดีและไม่ได้แย่อะไร
  • Level 6 - Extra Attack (10/10) - โจมตีได้ 2 ครั้งต่อ 1 Action Point อันนี้แน่นอนครับ ของจำเป็นสำหรับสายโจมตีเลย และเป็น Subclass ใหม่ หนึ่งเดียวที่มีสกิลนี้เลยครับ
  • Level 10 - Song of Defence (7/10) - เมือเราโดนดาเมจตอนใช้ Bladesong อยู่ เราสามารถจ่าย Spell Slot เพื่อลดดาเมจลงได้ 5 หน่วยต่อ 1 Slot ... นับเป็นสกิลสายป้องกันที่ดีเลย ถ้าคุณไม่ได้ใช้ Slot เวทย์มากนัก
Conclusion
ก็จบกันไปแล้วกับ Guide Multiclass แบบคร่าวๆให้ทุกคนได้ลองไปศึกษาทำบิ้วกันนะครับ บอกเลยว่าข้อมูลมันเยอะมากๆจนผมไม่สามารถลงรายละเอียดลึกๆให้ได้ (กลัวว่าข้อมูลจะเยอะไปด้วย555) เลยทำออกมาแบบกระชับๆให้ดูง่ายๆ(รึป่าวหว่า?)

ยังไงถ้าใครมีอะไรสงสัย ติชม หรืออยากให้เพิ่มเติมอะไรก็ Comment กันไว้ได้เลยนะครับ ถ้ามีเวลาผมอาจจะมาอัพเดทข้อมูลให้เรื่อยๆแน่นอนครับ ... ตอนนี้ขอตัวออกไปผจญภัยหาของมาทำบิ้วต่อไปให้ทุกท่านได้มีอะไรอ่านเล่นกันต่อครับ

หวังว่าทุกคนจะสนุกกับการสร้างบิ้วของตัวเองนะครับ ไว้เจอกันใหม่ไกด์หน้าครับผม
Link Guide&Build อื่นๆที่ผมได้ทำไว้
สำหรับใครที่ขี้เกียจเลื่อนหา หรืออาจจะหาไกด์ไหนไม่เจอ ลองกดไปดูในสารบัญรวมเล่มนี้ได้เลยครับ
https://test-steamproxy.haloskins.io/sharedfiles/filedetails/?id=3140547253
11 Comments
Kingreader-K  [author] 14 Jan, 2024 @ 7:33pm 
ถ้าแบบนั้นอาจจะต้องทำไกด์แยกมาอีกอันเลยครับ เพราะรายละเอียดมหาศาลเลย 5555 แต่เดี๋ยวจะลองดูให้นะครับ เพราะคิดว่าน่าจะมีประโยชน์อยู่เยอะเหมือนกัน
INSANE_TH 14 Jan, 2024 @ 10:37am 
อยากได้ข้อมูลของ Spell ของพวก Full Caster หน่อยครับ. spell แต่ละอันมีเยอะและอ่านเยอะมากๆ
𝓚𝓻𝓲𝓭 14 Jan, 2024 @ 1:07am 
@Kingreader-K รอติดตามครับทั้งทีมผม 4 ตัว บิ้วคุณหมดเลย 4 แบบ FC ครับ
Kingreader-K  [author] 13 Jan, 2024 @ 4:50pm 
@akgaloff ลองดูครับ ถ้าอยากได้ข้อมูลส่วนไหนเพิ่มเติมก็ Comment ไว้ได้เลยครับผม
Kingreader-K  [author] 13 Jan, 2024 @ 4:48pm 
@Krid ได้ครับ เดี๋ยวผมลองดูให้ครับ ที่เคยเล่นเคยบิ้วจะมีอยู่ 2 บิ้ว … บิ้วแรก ลองดู Build#002 ได้เลยครับ อันนี้ก็เล่นดนตรีได้แถมฟาด Smite แรงด้วย … อีกบิ้วผมยังไม่ได้ทำไกด์ไว้ เป็นสาย Bard ถือ Hand Crossbow คู่ครับ อันนั้นก็ยิงแรงเหมือนกัน 555
akgaloff 13 Jan, 2024 @ 4:35pm 
ขอบคุณครับ รายละเอียดเยอะมาก เริ่มพอจะเข้าใจ DnD เพิ่มขึ้นแล้วครับ ♥♥♥
𝓚𝓻𝓲𝓭 13 Jan, 2024 @ 8:27am 
ขอได้จริงหรอครับ มีบิ้วในฝันอยู่ครับ อยากได้นักดนตรีที่ต่อสู้ได้แบบโหดๆ:steammocking:
Kingreader-K  [author] 12 Jan, 2024 @ 9:06pm 
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านเช่นกันครับ ผมเองก็หวังว่าจะมีประโยชน์ให้ทุกคนได้เล่นเกมนี้ให้สนุกขึ้นครับ 555
INSANE_TH 12 Jan, 2024 @ 8:44pm 
สุดยอด! ประดับความรู้ให้กับคนไม่เคยเล่น DnD ได้อย่างจุใจเลย ขอบคุณมากครับ
Kingreader-K  [author] 12 Jan, 2024 @ 4:38pm 
จริงผมย่อสุดๆแล้วนะครับ 5555 แต่ได้เลยครับ อยากได้บิ้วอะไรแบบไหนบอกได้เลยนะครับ