Baldur's Gate 3

Baldur's Gate 3

Not enough ratings
[BG3] Build#017 อัศวินมืดไฟโลกันต์สะบั้นสัตย์ปฏิญาณ
By Kingreader-K
บิ้ว Endgame (Act 3 Lv12) สำหรับผู้ที่ชื่นชอบอัศวินแห่งการตระบัดสัตย์ ผู้กวัดแกว่งขวานใหญ่แห่งไฟนรก โดยไกด์นี้ จะอธิบายการทำบิ้ว, อุปกรณ์ที่จำเป็น, และวิธีการเล่นให้อย่างละเอียดระดับโมเลกุล

อ้างอิงจากเกม Version 4.1.1.4953010 (Patch 6 Hotfix 23)
   
Award
Favorite
Favorited
Unfavorite
Introduction & Overview
คุณชอบเล่นพาลาดินแบบไม่ยึดถือในสัตย์ปฏิญาณหรือไม่?
คุณชอบเล่นบิ้วโจมตีระยะประชิดที่ใช้ดาเมจไฟมั๊ย?
คุณชอบบิ้วที่ฟันก็ได้ ร่ายเวทย์ก็ดี มีบัฟและฮีลครบเครื่องหรือไม่?


สวัสดีเพื่อนๆทุกคน กลับมาพบกันอีกครั้งในบิ้วไกด์ที่ 17 แล้ว กับผม Kingreader-K ซึ่งในรอบนี้ มาพร้อมกับบิ้ว Paladin บิ้วที่ 2 ที่จะทำให้ผู้ชื่นชอบการเล่นพาลาดินสายคนนิสัยไม่ดีนั้น ได้วิ่งเข้าไปฟาดฟัน+ปล่อยไฟนรกใส่ศัตรูให้ไหม้เกรียมมีเดี้ยมแรร์กันไปเลย

จริงๆแล้ว Paladin นี่เป็นคลาสเมนที่ผมชื่นชอบที่สุดในเกมนี้เลย ทั้งรูปลักษณ์ Alignment ของนิสัย และสกิลแห่งแสงต่างๆ แต่ไม่รู้ทำไม ผมถึงไม่ค่อยได้ทำบิ้วคลาสนี้ออกมาเล่นเท่าไหร่ อาจจะเพราะ Smite ที่ OP จนกลบข้อดีข้ออื่นของคลาสนี้ไปก็ได้ครับ ... ดังนั้น ผมเลยขอมารื้อฟื้นการบิ้วพาลาดินนี่อีกครั้ง แต่ครั้งนี้จะขอบิ้วไปในสาย Oathbreaker หรือผู้ตระบัดสัตย์ ไว้ให้เหมาะกับคนที่อยากได้พาลาดินสายคนชั่วร้ายมาเล่นครับ

โดยปกติ คนเล่นพาลาดินจะต้อง Smite เป็นดาเมจหลัก แต่บิ้วนี้ ผมจะใช้การโจมตีปกติ เน้นทำดาเมจกายภาพเป็นหลัก และใช้ Divine Smite ในการทำดาเมจเสริมแทน ... หืม? แล้วจะใช้อาวุธอะไรงั้นเหรอ? สำหรับคนที่อ่านชื่อบิ้วบางท่านอาจจะทราบกันแล้ว ... ใช่ครับ มันคือ 1 ในอาวุธลับ (อีกแล้ว) หาได้จากการเล่นปกติในตอน Endgame Act 3 ที่หลายๆคนอาจจะพลาดมันไปได้ง่ายๆ ... Hellfire Greataxe นั่นเองครับ

เพื่อไม่ให้การเกริ่นนำกลายเป็นเรียงความส่งคุณครูภาษาไทย เราลงไปดูรายละเอียดกันเลยดีกว่าครับผม

การสร้างตัวละครที่ Level 01
Paladin Lv1

Origin/Race/Sub-Race - อันนี้ผมแนะนำเผ่า Tiefling Sub-Race: Zariel Tiefling เลยครับ เพราะตอนเลเวล 3 และ 5 จะได้สกิล Smite ฟรีมา (Searing Smite และ Branding Smite) ซึ่งมีประโยชน์ในการทำดาเมจเพิ่มตอนเราหมด Spell Slot แล้ว ... แต่สุดท้าย ก็อยู่ที่ความพอใจของเราเลยครับ เลือกเล่นเผ่าไหนก็ได้ตามใจชอบ

Class - Paladin เพราะต้องการ Proficiency Saving Throw ของ Wis และ Cha
Subclass - จริงๆอันนี้เลือกอันไหนก็ได้ เพราะเดี๋ยวเราจะไปเปลี่ยนเป็น Oathbreaker อยู่แล้ว แต่ถ้าให้แนะนำ ผมแนะนำเป็น Oath of the Ancients ครับ เพราะมี Oath Spells ทั้งหลาย และออร่าตอนเลเวล 7 มีประโยชน์มาก เป็น Subclass ที่ OP มากๆอันนึงเลย
Abilities - โดยปกติอันนี้จะมี 2 กรณีนะครับ กรณีแรกคือคนที่เริ่มเล่นจากเวลแรกๆ ให้อัพเน้น Str, Con, Cha ไปก่อน จะเท่าไหร่ก็ได้แล้วแต่สะดวกเลย กรณีที่สองคือตอนที่คุณมีของพร้อมแล้ว ก็มาอัพตามตารางด้านล่างนี้ครับ

ซึ่งตารางนี้ก็มีแยกอีก 2 แบบ (อะไรกันครับเนี่ย) โดยตรงนี้จะขึ้นอยู่กับว่า คุณจะได้บัฟ Cha บวกเพิ่มมาเท่าไหร่ (รายละเอียดดูในหมวด Passive Bonus ที่จำเป็นครับ) ก็ให้ดูจากตารางนี้ครับ

Abilities
Score แบบ ได้ CHA+2
Score แบบ ได้ CHA+3
Strength
12
10
Dexterity
16
16
Constitution
8
8
Intelligence
8
8
Wisdom
14
14
Charisma
16
17

Skills - อะไรก็ได้เลยครับ

การอัพเกรดตัวละครที่ Level 02
Paladin Lv2

ในเลเวลนี้เราจะได้ Divine Smite มาใช้แล้ว สำหรับใครที่อยากรู้รายละเอียดของสกิลนี้ ผมจะขอยกคำอธิบายจากบิ้ว 002 ของผมมาเลยนะครับ

Divine Smite
สกิลสายโจมตีที่ไม่นับเป็นเวทย์มนต์ ... ใช่ครับ คุณใช้สกิลนี้ได้ตอนอยู่ในวง Silence แต่มันก็ยังกิน Spell Slot อยู่ดีนะ (อย่าถามผมว่าทำไม ผมไม่รู้ 555) ซึ่งจะทำดาเมจตามดาเมจของอาวุธที่ถือ +2-16 ดาเมจแสง (เพิ่ม 1-8 หน่วยทุกๆเลเวลของ Slot เวทย์ที่ใช้) และยังมีโบนัสดาเมจแสงอีก 1-8 หน่วย ถ้าคุณใช้ใส่ศัตรูที่เป็น Undead หรือ Fiend

แต่ไม่ใช่แค่นั้น สิ่งที่ทำให้ Divine Smite โหดเหี้ยมกว่าสกิลอื่นคือ มันสามารถเป็น Reaction: On Hit หรือ Critical Hit ได้ครับ ... หมายความว่า ถ้าคุณตีธรรมดาหรือด้วยสกิล Smite อื่นๆ คุณสามารถเพิ่มดาเมจด้วย Divine Smite ได้อีก (แต่เปลือง Spell Slot เหมือนเดิมนะ) ... ทำให้ Paladin เป็นคลาสที่ทำดาเมจใส่ศัตรูตัวเดียวได้สูงมากๆครับ ในแพทช์เก่าๆ เราสามารถ Divine Smite ซ้อน Divine Smite เวลสูงๆได้ แต่ในแพทช์ปัจจุบัน ไม่สามารถทำได้แล้วครับ แถมยังเนิร์ฟดาเมจไม่ให้เกิน 5-40 อีก ... เอาน่ะ โหดเกินไปเดี๋ยวเกมจะไม่มันส์เอาเนาะ


Fighting Style - บังคับเลือก Defence ครับ เพราะจะเพิ่ม AC+1 ให้เราทันทีเมื่อเราใส่เกราะ และในบิ้วนี้เราไม่ได้ถือโล่ด้วย ทำให้ต้องเพิ่ม AC ให้สูงๆด้วยวิธีพื้นฐานพวกนี้ครับ


Prepare Spells - อันนี้ผมไม่อธิบายละกันนะ ก็เลือกอันที่ชอบเตรียมไว้ หรือจะเอาไว้ไปเลือกหลังเลเวลอัพเสร็จก็ได้ครับ

การอัพเกรดตัวละครที่ Level 03
Paladin Lv3

ในเลเวลนี้ก็ไม่มีอะไรมากครับ ไม่ต้องเลือกอะไร โดยเราจะได้ Class Action และ Oath Spells มา ซึ่งมีประโยชน์แต่ก็ไม่ได้มีผลโดยตรงกับบิ้วของเรามาก ... สิ่งที่ดูมีประโยชน์ที่สุดก็คือ Divine Health ครับ ที่จะทำให้เรามีความต้านทานโรคหรือ Disease ทั้งหมด ทำให้เราไม่สามารถโดน Disease ใดๆได้ ก็ถือว่าคุ้มค่าสำหรับสกิลของคลาสเวล 3 นี้ครับ

การอัพเกรดตัวละครที่ Level 04
Paladin Lv4

มาถึงเลเวลนี้ เราจะได้เลือก Feat อันแรกกันแล้วครับ

Feat - แน่นอน สำหรับบิ้วที่ถืออาวุธหนัก ก็ต้อง Great Weapon Master อยู่แล้ว ... เพราะ Feat นี้นอกจากจะมีโหมด All-In ที่ลด Attack Roll -5 แต่ได้ดาเมจ +10 แล้ว ... ก็ยังมีสกิล Passive ชื่อ Great Weapon Master: Bonus Attack ด้วย อธิบายง่ายๆคือ เมื่อคุณฆ่าศัตรูได้หรือตีติดคริในเทิร์นนั้นๆ คุณจะสามารถใช้ Bonus Action ทำการโจมตีได้อีก 1 ครั้งครับ

ส่วนเรื่องดาเมจจาก All-In นั้น เช่นเคย อยู่กับสถานการณ์และการตัดสินใจของคุณเลยครับ จะเปิดหรือปิดยังไงก็ได้ แต่จำไว้ว่า +10 ดาเมจเป็นเลขตายตัวนะครับ ซึ่งถ้าคุณจำเป็นต้องเสี่ยงเพื่อเอาดาเมจตรงนั้นแล้วยังมีโบนัสมาแก้ทาง -5 Attack Roll อยู่ ก็อาจจะคุ้มค่าที่จะเสี่ยงครับ

การอัพเกรดตัวละครที่ Level 05
Paladin Lv5

ในเลเวลนี้ เราจะได้ Extra Attack มาแล้ว ทำให้เราสามารถโจมตีศัตรูได้ 2 ครั้ง/ 1 Action Point ... นอกจากนี้ ยังมีพวกเวทย์เลเวล 2 และ Oath Spells ฟรีให้อีกด้วย แต่ก็ไม่ได้จำเป็นกับบิ้วของเราเท่ากับ Extra Attack ครับ ดังนั้น ไปต่อกันที่เลเวลถัดไปดีกว่า

การอัพเกรดตัวละครที่ Level 06
Paladin Lv6

ในเลเวลนี้เราจะได้สกิลพิเศษอย่างนึงของคลาสนี้ นั่นคือ Aura นั่นเองครับ โดยสกิลพวก Aura ของ Paladin จะมีผลอยู่แบบ Permanent หรืออยู่ยาว จนกว่าตัวเราจะเดี้ยงไป อันนั้นก็มาร่ายเปิดออร่าใหม่ครับ แถมยังร่ายได้ฟรีๆไม่เสีย Spell Slot อะไรแต่อย่างใด ... แต่ข้อเสียคือ ออร่าจะมีผลกับตัวคุณและเพื่อนๆในระยะรัศมีรอบตัวคุณแค่ 3 เมตรเท่านั้น ซึ่งตัวคุณจะได้ผลของออร่าแน่นอน 100% แต่ถ้าอยากให้เพื่อนได้ผลด้วย ต้องเข้าไปใกล้มากๆครับ

และในเลเวลนี้เราจะได้ออร่าแรกมา นั่นก็คือ...

Aura of Protection
เมื่อเปิดออร่า จะทำให้เราและเพื่อนในระยะ 3 เมตรได้โบนัสค่า Saving Throw เพิ่มเท่ากับ Cha Modifier ของตัวละครเรา เช่น ถ้าคุณมี Cha 22 แต้ม (Modifier+6) จะได้ Saving Throw+6 มาฟรีๆ ซึ่งก็เป็นโบนัสที่เยอะนะครับ บางครั้ง อาจจะช่วยให้คุณ Saved ผ่านท่าโหดๆได้เลย ถือว่าเป็นออร่าที่มีประโยชน์มากๆฮะ

การอัพเกรดตัวละครที่ Level 07
Paladin Lv7

พูดถึงออร่าไปเมื่อเลเวลที่แล้ว ก็เชิญพบกับอีกออร่านึงที่เรียกได้ว่า เป็นออร่าที่ OP มากๆอีกอันครับ

Aura of Warding
เป็นออร่าที่ไม่ได้ใช้ Cha Modifier มาเพิ่มโบนัสแต่อย่างใด เมื่อเปิดออร่าแล้ว คุณและเพื่อนในระยะ 3 เมตร จะโดนดาเมจจากเวทย์มนต์ลดลงครึ่งนึงครับ ... ใช่ครับ มันคือ ออร่าที่ทำให้คุณได้ Resistance กับดาเมจจากเวทย์ทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเวทย์อะไร ขอแค่มันนับเป็น Spells คุณจะสามารถลดดาเมจที่โดนลงได้ครึ่งนึงทันที เป็นออร่าที่ใช้ได้ดีมากๆ แถมพาลาดินที่ Cha น้อยๆก็สามารถใช้ได้ผลดีเช่นเดียวกันครับ

และเราก็จะหยุดอัพคลาสนี้ไว้เพียงเท่านี้

การอัพเกรดตัวละครที่ Level 08
Paladin Lv7 / Warlock Lv1

มาเลเวลนี้ เราจะเปลี่ยนไปอัพคลาส Warlock ครับ ซึ่งผู้เชี่ยวชาญหลายๆท่านคงพอเดาออกแล้วว่า ผมอัพมาทางนี้เพื่อจะเอาอะไร 555+

Cantrips - เลือก Eldritch Blast ไปเลยครับ 1 อัน เพราะบิ้วนี้เราใส่เต็มกับค่า Cha อยู่แล้ว ทำให้สามารถใช้เวทย์นี้เป็นทางเลือกในการโจมตีระยะไกลได้ ส่วนอีกอันเลือกอะไรก็ได้ครับ แล้วแต่ชอบเลย

Eldritch Blast
เป็นเวทย์ Cantrips หรือเวทย์ที่ไม่ใช้ Slot เวทย์ในการร่าย และเป็นเวทย์เฉพาะตัวของคลาส Warlock เลยครับ โดยเวทย์นี้จะยิงลำแสงทำดาเมจ 1-10 หน่วยแบบ Force ใส่ศัตรู ซึ่งมีศัตรูน้อยตัวมากที่มีค่า Resistance ดาเมจแบบนี้ ส่วน Eldritch Blast จะมีการอัพเกรดเหมือน Cantrips อื่นๆที่ตัวละครเลเวล 5 และ 10 ... ย้ำว่าเวลตัวละครนะครับ ไม่ใช่ เวลคลาส ซึ่งไม่ได้อัพเกรดดาเมจเหมือนอันอื่นแต่เพิ่มจำนวนลำแสงที่ยิงเอา
> ตัวละครเลเวล 5 จะยิง Eldritch Blast ได้ 2 เส้น ดาเมจ Force เส้นละ 1-10 หน่วย รวม 2-20 หน่วย
> ตัวละครเลเวล 10 จะยิง Eldritch Blast ได้ 3 เส้น ดาเมจ Force เส้นละ 1-10 หน่วย รวม 3-30 หน่วย
ซึ่งความดีงามของมันคือ แต่ละเส้นสามารถเลือกเป้าหมายได้ตามใจ หมายความว่าคุณจะรัวทั้ง 3 เส้นใส่ศัตรูตัวเดียว หรือจะแบ่งยิงเส้นละตัวทำดาเมจครั้งละ 3 ตัวก็ได้ มันจึงเป็นเวทย์ที่ทั้งดีและยืดหยุ่นมากๆครับ


Subclass - เลือก The Fiend ครับ เพราะจะทำให้เราเลือกเวทย์ Fireball ในตอนคลาสนี้เลเวล 5 ได้ แต่ถ้าหากคุณไม่ได้สนใจที่จะใช้ Fireball ก็เลือกเป็นอย่างอื่นได้ครับ


Spells - ในส่วนของเวทย์นั้น ผมแนะนำให้เลือก Hex และ Hellish Rebuke ครับ โดยจะอธิบายคร่าวๆดังนี้
> Hex - เวทย์คำสาปที่ใช้แค่ Bonus Action ในการร่าย โดยเราสามารถเลือกให้ศัตรูติด Disadvantage ใน Abilities Check ที่เราเลือกได้ และเมื่อเราโจมตีศัตรูที่โดน Hex จะทำดาเมจ Necrotic เพิ่มได้ 1-6 หน่วย ... แถมเมื่อศัตรูที่โดน Hex ตายไป เราจะสามารถร่าย Hex ใส่ศัตรูตัวอื่นได้ฟรีไม่เสีย Slot เวทย์ของ Warlock ด้วย เรียกได้ว่าร่ายทีเดียวคุ้มยาวๆ จนกว่าคุณจะหลุด Concentrate เลยนู่นแหละครับ
> Hellish Rebuke - เป็นเวทย์ Counter แบบ Reaction ก็ถือเป็นดาเมจแถมที่ดีครับ ยิ่งใช้ Slot เวทย์สูงๆ ยิ่งเพิ่มดาเมจไฟเข้าไปอีก ไว้ใช้สวนศัตรูที่เลือดน้อยๆให้ตายได้สบายๆเลย

การอัพเกรดตัวละครที่ Level 09
Paladin Lv7 / Warlock Lv2

Spells - ในส่วนของเวทย์นั้นจะเอาอันไหนก็ได้ครับ แต่ผมแนะนำอันนี้
> Armour of Agathys - สำหรับสายป้องกัน อันนี้ถือว่าดีงามมากครับ ใครอยากรู้ว่าเวทย์ดีขนาดไหนลองอ่านบิ้ว 004 ดูได้เลย ... แต่ผมสรุปสั้นให้ว่า สำหรับบิ้วนี้ การมีเลือดสำรองและสามารถสะท้อนดาเมจใส่ศัตรูได้ก็ถือว่าเป็นสกิลเวทย์ป้องกันที่ดีมากๆครับ

Eldritch Invocations - เป็นการเลือกเสริมความแข็งแกร่งให้กับ Eldritch Blast และตัวเราเอง ผมแนะนำให้เลือกตามด้านล่างครับ แต่ถ้าคุณไม่คิดจะใช้ EB อยู่แล้ว ก็สามารถเลือกอย่างอื่นได้เลยนะ

Agonising Blast
เมื่อเราใช้ EB ยิงใส่ศัตรู เราจะบวกค่า Cha Modifier เข้าไปในดาเมจด้วย ยกเว้นค่าจะติดลบ (หรือก็คือ Cha ต่ำกว่า 10) ... อันนี้คือสำคัญมากครับ เพราะบิ้วนี้ ถ้าคุณอัพเต็ม คุณจะมี Cha อยู่ประมาณ 22-24 แต้ม กล่าวคือ มี Cha Modifier +6 หรือ +7 ก็บวกดาเมจไปตามนั้นเลยครับ ... ที่สำคัญคือ ดาเมจที่บวกนี่ เป็นดาเมจต่อ 1 เส้นนะ ถ้ายิงได้ 3 เส้นก็เท่ากับ +18 หรือ +21 ดาเมจกันเลยทีเดียวล่ะ


Devil's Sight
จะทำให้คุณมองเห็นในที่มืดได้ 24 เมตร และจะทำให้คุณมองเห็นในเวทย์ที่ทำให้ตาบอดอย่าง Darkness ได้ด้วย อาจจะไม่ได้ดูดีหวือหวามาก แต่ถ้าเมื่อคุณเปลี่ยนเป็น Oathbreaker แล้ว คุณจะได้เวทย์ Darkness มาใช้ฟรีๆเป็น Oath Spells ทำให้คุณสามารถร่ายเวทย์นี้ใส่กลุ่มศัตรูแล้วเข้าไปโจมตีให้ติด Advantage ได้สบายๆเลย ถือเป็นอีก 1 ทางเลือกที่ดีครับ

การอัพเกรดตัวละครที่ Level 10
Paladin Lv7 / Warlock Lv3

Spells - ตอนนี้เราจะเลือกเวทย์เลเวล 2 ได้แล้ว ผมแนะนำกึ่งล็อคคอให้เลือกตามนี้เลยครับ

> Hold Person - เวทย์สำหรับล็อคศัตรูที่เป็นมนุษย์หรือ Humanoid ทั้งหลาย ซึ่งถ้าล็อคสำเร็จ ศัตรูจะทำอะไรไม่ได้ไป 10 เทิร์น ... นอกจากนี้การโจมตีศัตรูตัวนั้นๆในระยะ 3 เมตรจะติดคริอัตโนมัติ ถือเป็นของดีที่เอาไว้ใช้ล็อคพวกบอสเก่งๆได้ครับ ลองดูวิธีใช้ที่คลิปเทสรันของผมในหมวด Bonus ได้นะ


Replace Spell - แนะนำให้เลือกเวทย์เลเวล 1 อย่าง Hellish Rebuke มาเปลี่ยนครับ เพราะตอนที่เราเป็น Oathbreaker แล้วจะได้เวทย์นี้มาฟรีๆอยู่แล้ว

> Misty Step - เวทย์วาร์ปอเนกประสงค์โดยใช้แค่ Bonus Action เท่านั้น มีไว้เพื่อให้ใช้เข้าออกพื้นที่ต่างๆได้ง่ายขึ้นครับ


Pact Boon - แน่นอนครับ ต้องเลือก Pact of the Blade ห้ามเลือกอันอื่นเด็ดขาด เพราะจะทำให้เราสามารถผูกพันธะกับอาวุธในมือได้ โดยอาวุธที่เรา Bond ด้วยนั้น จะเปลี่ยนไปใช้ค่า Cha เป็น Modifier แทน Str หรือ Dex ในทันที แม้ว่าค่า Cha จะน้อยกว่าทั้งสองค่านั้นก็ตาม ... แต่สำหรับบิ้วนี้ ค่า Cha เราเยอะครับ ทำให้เป็นการบัฟที่ทำให้เราได้เปรียบในการใช้อาวุธมากขึ้นด้วย เพราะอาวุธที่ Bond นี้จะไม่สามารถหลุดมือเราได้ ป้องกันการโดน Disarm ไปในตัวเลย คุ้มมากๆ

การอัพเกรดตัวละครที่ Level 11
Paladin Lv7 / Warlock Lv4

Feat - เลเวลนี้ง่ายๆ เลือก Ability Improvement เพิ่ม Cha+2 แต้มไปเลยครับ จะทำให้ตอนนี้คุณมี Cha อยู่ที่ 18-19 แล้ว (Cha Modifier+4)

การอัพเกรดตัวละครที่ Level 12
Paladin Lv7 / Warlock Lv5

นี่เป็นเลเวลสำคัญที่จะทำให้ชีวิตคุณเปลี่ยนไปครับ เพราะในเวลนี้ คุณจะได้สกิลที่ชื่อว่า Deepened Pact มา ทำให้ Pact Boon ที่คุณเลือกไว้ตอนเลเวล 10 มีผลแอดวานซ์ไปอีกขั้น โดย Pact of the Blade ที่เราเลือกไว้จะได้รับผลของ Extra Attack มา ... อ่ะ ฟังดูเหมือน เห้ย! ได้มาซ้ำกับของ Paladin Lv5 นี่นา เสียของจริงๆ ... ใจเย็นๆครับ เพราะผลของ Extra Attack จากทั้ง 2 ที่นี้มัน Stack กันได้ ดังนั้น เมื่อคุณ Bond กับอาวุธแล้ว คุณจะสามารถใช้อาวุธนั้นโจมตีได้ 3 ครั้ง ต่อ 1 Action Point เลยล่ะ ... ยกเว้นว่าคุณจะเล่นในโหมด Honour ซึ่งมันมีกฎที่ไม่เหมือนปกติ และจะไม่นับ Stack กันครับ

Spells - ตอนนี้เราจะเลือกเวทย์เลเวล 3 ได้แล้ว ผมขอแนะนำสองอันตามนี้ครับ

> Fireball - เวทย์ยิงลูกไฟทำดาเมจวงกว้างแบบคลาสสิก โดยจะเข้ามาทำหน้าที่อุดจุดอ่อนเรื่อง AOE ของบิ้วนี้ครับ โดยเฉพาะบิ้วนี้ สามารถโจมตีด้วยอาวุธโดน 1 ครั้งแล้วได้ Heat 2 แต้ม ทำให้สามารถใช้ Heat Convergence เพิ่มดาเมจไฟให้กับเวทย์นี้ได้ถึง 7 หน่วยเลยทีเดียว ... และที่สำคัญ เวทย์นี้จะมีให้เลือกได้ เมื่อคุณเลือก Subclass เป็น The Fiend เท่านั้นครับ


Replace Spell - เลือกอันที่คุณไม่ได้ใช้มาแลกกับเวทย์เค้าน์เตอร์สุดเทพอันนี้ได้เลยครับ

> Counterspell - เวทย์ Anti Magic ที่ใช้ได้ผลดีสุดๆ เมื่อศัตรูร่ายเวทย์เราจะสามารถใช้ Reaction ในการป้องกันการร่ายเวทย์นั้นของศัตรูได้ โดยศัตรูจะเสีย Action Point และ Spell Slot ในการร่ายเวทย์นั้นไปฟรีๆเลย ถือว่าเป็นของดีที่คุณคู่ควรครับ


Eldritch Invocations - เลือกเพิ่มอีก 1 อย่าง ผมแนะนำเป็นอันนี้เลยครับ

Repelling Blast
เมื่อเรายิง EB โดนศัตรู (ย้ำว่าต้องโดนนะ) จะผลักศัตรูตัวนั้นๆกระเด็นถอยหลังไป 4.5 เมตร ถ้ายิง EB หลายๆเส้นใส่ศัตรูตัวเดียว จะกระเด็นได้แค่ครั้งเดียว ... อันนี้ก็ดีมากครับสำหรับผลักศัตรูออกจากระยะประชิดได้ แถมยังเปิดปิดได้อิสระตามใจเราเลยด้วย มีประโยชน์มากๆเลยล่ะครับ


และเราก็จบกับการอัพตัวละครเราแค่นี้ ... แต่เดี๋ยวก่อน!!! คำอธิบายสกิลของผมยังไม่จบแค่นี้ครับ เชิญพบกับหมวดพิเศษของบิ้วนี้กันได้เลย นั่นก็คือ ...
สกิลที่ได้จากการเปลี่ยนเป็น Oathbreaker
และก็มาถึงหมวดไกด์ที่ผมไม่เคยเขียนเลย นั่นคือ การเปลี่ยนสกิลของสาย Oath of the Ancients ไปเป็น Oathbreaker ซึ่งคุณสามารถทำลาย Oath ตัวเองได้หลากหลายวิธีมากครับ สำหรับใครที่อยู่ Endgame แล้ว ทางที่ง่ายที่สุดคือ การเข่นฆ่า NPC ผู้บริสุทธิ์ทั้งหลายซักคนนึง ซึ่งไม่น่าเป็นเรื่องยากกับเมือง Baldur's Gate ที่มี NPC ไร้ประโยชน์ให้ด้านมืดของคุณได้ใช้สอย ... เมื่อคุณ Oath แตกแล้ว จะมี NPC อัศวิน Oathbreaker มาหาคุณที่แคมป์ ก็ไปคุยและยอมรับที่จะกลายเป็น Oathbreaker ไปครับ ... จุดนี้เองที่เป็นความสนุกของคลาสพาลาดินที่หาไม่ได้จากคลาสอื่น เพราะความโรลเพลย์ในการรักษาหรือละทิ้งสัตย์ปฏิญาณของคุณนี่แหละ

พอคุณเปลี่ยนเป็น Oathbreaker แล้ว จะมีหน้าสรุปสกิลที่เปลี่ยนไปให้ครับ โดยจะรวมสกิลที่เราได้ในทุกเวลไว้ในหน้าเดียว แต่ผมจะแยกอธิบายเป็นเลเวลๆไป เพื่อให้ผู้ที่ยังไม่ถึงเวล 7 สามารถดูและวางแผนการใช้งานบิ้วนี้ล่วงหน้าได้ครับ

ข้อควรระวัง - อันนี้คือสิ่งที่คุณต้องรู้ไว้และห้ามลืมเด็ดขาด คือ การที่คุณเปลี่ยนเป็น Oathbreaker นั้น คุณจะไม่สามารถ Respec ตัวละครหรือเปลี่ยนคลาสได้อีกต่อไป จนกว่าคุณจะซื้อสัตย์ปฏิญาณของคุณคืน (ใช่ครับ เงินแก้ปัญหาให้คุณได้) ดังนั้น ผมแนะนำว่า คุณต้องแน่ใจใน Abilities Scores และบิ้วของคุณก่อนนะครับ แล้วค่อยเปลี่ยน ไม่อย่างนั้นคุณอาจจะต้องเสียเงินแก้บิ้วฟรีๆหลักพันหลักหมื่นกันเลยนะ

Oathbreaker Lv1
Healing Radiance เปลี่ยนเป็น Spiteful Suffering
เป็นการเปลี่ยนจากสกิลสายฮีล มาเป็นสกิลสายทำดาเมจและดีบัฟระยะใกล้ที่ดูไม่ค่อยจะมีระโยชน์เท่าไหร่ ดูแล้วอาจจะไม่คุ้มกัน แต่ถ้าจะเดินทางสายมืดก็ต้องยอมรับกันไปครับ 555+

Oathbreaker Lv3
Nature's Wrath และ Turn the Faithless เปลี่ยนเป็น Control Undead และ Dreadful Aspect
อันนี้ดีมาก เพราะสกิลที่ใช้ Oath Charges ของสาย Oath of the Ancients ไม่ได้มีประโยชน์มากเท่าไหร่ครับ แต่สำหรับ Oathbreaker นั้น ดีทั้งสองอย่างเลย
> Control Undead - ทำให้เราควบคุมศัตรู Undead ที่เลเวลน้อยกว่าเราได้ 1 ตัว ใช้ได้ดีมากช่วงที่ต้องเจอกับศัตรูที่เป็น Undead เยอะๆครับ
> Dreadful Aspect - สกิลทำดีบัฟหมู่ ทำให้ศัตรูในระยะ 9 เมตรติดสถานะ Frightened และไม่สามารถขยับไปไหนได้ มีประโยชน์มากในหลายๆสถานการณ์เลยครับ

Speak with Animals และ Ensnaring Strike เปลี่ยนเป็น Hellish Rebuke และ Inflict Wounds
เป็นการแลกเปลี่ยนที่ได้กำไรอีกเช่นเคย ... เสียดายการคุยกับสัตว์ไปเหรอ? นั่นมันหน้าที่ของสายคุย ไม่ใช่หน้าที่ของสายลุยแบบเราครับ 555+
> Hellish Rebuke - เวทย์เค้าน์เตอร์ดาเมจไฟระยะไกลที่ผมกล่าวถึงไปแล้วในตอนอัพเลเวล ถ้าตอนนั้นคุณไม่ได้เลือกเอาเวทย์นี้เปลี่ยนไปเป็นอย่างอื่น คุณก็จะเสียประโยชน์ตรงนี้ไปเลยครับ
> Inflict Wounds - เวทย์ทำดาเมจ Necrotic ระยะใกล้ที่รุนแรง แม้จะไม่ได้ใช้งานในบิ้วนี้เท่าไหร่ แต่ก็ถือเป็นเวทย์ทางเลือกที่ดีมากๆครับ

Oathbreaker Lv5
Misty Step และ Moonbeam เปลี่ยนเป็น Crown of Madness และ Darkness
อันนี้ส่วนตัวผมมองว่าเป็นการแลกเปลี่ยนที่กลางๆ ไม่ได้ดีหรือไม่ได้แย่ครับ เพราะ Misty Step และ Moonbeam เป็นเวทย์ที่ดีมาก (Misty Step เราได้จากเวทย์ของ Warlock แล้วไม่เสียหายมากครับ) แต่ Crown of Madness และ Darkness ก็เป็นเวทย์ที่ใช้งานกับบิ้วของเราได้ดีมากๆเช่นกันครับ
> Crown of Madness - ทำให้ศัตรูเกิดอาการคลุ้มคลั่ง และโจมตีใส่ทุกคนที่อยู่ใกล้ที่สุด ยกเว้นคนร่ายเวทย์ ไม่ว่าคนนั้นจะเป็นพวกเดียวกันหรือศัตรูก็ตาม ... เป็นเวทย์ปั่นประสาทศัตรูที่ดีครับ สามารถหาโอกาสใช้งานเล่นๆได้ถ้าคุณชอบ
> Darkness - เวทย์สร้างความมืด และทำให้ทุกคนที่อยู่ในวงความมืดนั้นติดสถานะตาบอด Blinded ครับ และสำหรับตัวเราเองที่มีสกิล Devil's Sight ของ Warlock ทำให้มองเห็นในเวทย์นี้ได้ เลยกลายเป็นเวทย์ที่สร้าง Advantage ให้เราได้ครับ ของดีเลยล่ะ

Oathbreaker Lv7
Aura of Warding เปลี่ยนเป็น Aura of Hate
อันนี้ออร่าเทพสายป้องกันเปลี่ยนเป็นออร่าเทพสายโจมตี ถือว่าวินๆครับ โดยออร่าอันนี้เป็นสิ่งที่บิ้วเราต้องการมากที่สุดเลย
> Aura of Hate - เมื่อเปิดออร่า คุณและ Undead ที่ถืออาวุธทุกตัวในระยะ 3 เมตร (ใช่ครับ Undead ศัตรูก็ด้วย) จะได้รับดาเมจเท่ากับ Cha Modifier ของคุณ เช่น ถ้าคุณมี Cha 24 แต้ม (Cha Modifier+7) คุณและ Undead ที่ถืออาวุธทุกตัวในระยะ 3 เมตรจะได้รับแต้มประเภทดาเมจของอาวุธนั้นๆเพิ่มอีก 7 หน่วย นี่คือสุดยอดแห่งออร่าสายโจมตีเลยครับ แค่ต้องระวังเรื่องที่ศัตรูที่เป็น Undead จะได้ผลนี้ด้วยก็แค่นั้นเอง
Equipment อุปกรณ์สวมใส่ที่จำเป็น
MINOR SPOILER ALERT!!!

สำหรับอุปกรณ์สวมใส่ที่จำเป็นนี่ ยังไงก็คงหลีกเลี่ยงการสปอยได้ยาก ... แต่ก็เช่นเดิม ผมจะทำแถบปิด Spoiler เอาไว้ และจะ Spoil ให้น้อยที่สุดครับ

หากใครกลัวพลาดหรือแค่อยากรู้ว่าชิ้นไหนทำอะไรได้บ้างจริงๆ ให้ข้ามไปดูสรุปข้อมูลได้เลย

Helmet ส่วนหัว/หมวก
Birthright

หาซื้อได้จาก Sorcerous Sundries ใน Act 3 ... ขายโดยร่างจำแลงของ Lorroakan หรือ Rolan ถ้ายังเขายังมีชีวิตรอดจาก Act 1 และ 2 มาได้

Cloak ส่วนผ้าคลุม
Cloak of Protection

หาซื้อได้จาก Quartermaster Talli ที่ Last Light Inn ใน Act 2

Armor/Clothing ส่วนเกราะ/ชุด
Helldusk Armour

หาได้จาก House of Hope ใน Act 3 ... ดรอปจาก Raphael หลังจากที่เราฆ่ามันได้

Gloves ส่วนถุงมือ
Legacy of the Masters

หาซื้อได้จาก Dammon ที่ Forge of Nine ใน Act 3

Boots ส่วนรองเท้า
Helldusk Boots

หาได้จากหีบในห้องส่วนตัวของ Gortash ที่ Wyrm's Rock Fortress ใน Act 3

Amulet ส่วนสร้อยคอ
Amulet of Greater Health

ได้จาก House of Hope ใน Act 3 อยู่ในห้องโชว์ Artifact ที่เดียวกันกับ Orphic Hammer

Rings ส่วนแหวน
Ring of Protection

หาได้จาก Druid Grove ใน Act 1 ... เป็นรางวัลของเควส Steal the Sacred Idol ของ Mol หลังจากที่เราไปขโมยรูปปั้นมาให้เธอแล้ว

Band of the Mystic Scoundrel

หาได้จากกระเป๋าในป่าโลกล้านปี ที่เดียวกับที่เราได้สามง่าม Nyrulna โดยเราต้องได้ Jackpot กงล้อของจินนี่ที่ชื่อว่า Akabi ในคณะละครสัตว์ที่ Rivington ใน Act 3 ... โดยเราต้องขโมยแหวนจากมัน เพื่อให้เราสามารถได้แจ๊คพ็อต แล้ว Akabi จะจับได้ว่าเราโกง(ทั้งๆที่มันก็โกง) และจะวาร์ปเราไปในป่าที่เต็มไปด้วยไดโนเสาร์ครับ ให้สำรวจรอบๆดูจะพบกับกระเป๋าที่มีแหวนนี้อยู่ ก็เก็บมาได้เลย อ่อ อีกอย่าง คนที่วาร์ปไปนั้นจะไปคนเดียวและเป็นคนที่ไปหมุนกงล้อ ดังนั้น เลือกคนที่เก่งๆพอจะ Solo ได้นะครับ

Melee Weapon ส่วนอาวุธประชิด
Hellfire Greataxe

หาได้จาก Sorcerous Vault ที่ Sorcerous Sundries ใน Act 3 ... โดยให้เราเข้าประตูชื่อ Silverhand จากนั้นให้พังประตู Illusion เข้าไปในห้องจะมีหีบสมบัติ ในหีบนั้นจะมีขวานแห่งไฟนรกนี้อยู่ เป็นจุดที่หลายๆคนพลาดไปในรันแรกๆครับ ผมก็เช่นกัน 555+

Drakethroat Glaive

หาซื้อได้จาก Roah Moonglow ที่ Moonrise Towers ใน Act 2

Range Weapon ส่วนอาวุธระยะไกล
Gontr Mael

หาได้จาก Steel Watch Foundry ใน Act 3 … ดรอปจากบอส Steel Watch Titan หลังจัดการแล้วอย่าลืมเก็บมานะครับ เพราะถ้าเราเลือกระเบิดโรงงานแล้วจะกลับเข้าไปอีกไม่ได้แล้วครับ
สรุปความจำเป็นของอุปกรณ์แต่ละชิ้น
Birthright - ใส่เพื่อเพิ่ม Cha+2 แต้ม ดูเหมือนน้อยแต่จำเป็นมากๆสำหรับบิ้วนี้ครับ เพราะ 2 แต้มนี้ หมายถึง Cha Modifier+1 ในตัวมันเองเลยนะ
Cloak of Protection - ใส่เพื่อเพิ่ม AC+1 และ Saving Throw +1
Helldusk Armour - ใส่เพื่อเอา AC21, ลดดาเมจทุกอย่างที่เราโดนลง 3 หน่วย, ได้ Resistance ธาตุไฟ, และป้องกันสถานะติด Burn ได้, ถ้าศัตรูโจมตีด้วยเวทย์ใส่เราแล้วเรา Saving Throw สำเร็จ ศัตรูที่ร่ายเวทย์ใส่เราจะติด Burn ทันที ... นอกจากนั้นก็มีเวทย์บินให้ด้วย (ใช้ได้ 1 ครั้ง ต่อ 1 Long Rest) แถมเรายังไม่จำเป็นต้องมี Proficiency สำหรับเกราะหนักก็สามารถใส่ได้ เป็นเกราะที่เรียกได้ว่าดีที่สุดในเกมตอนนี้เลยก็ยังได้ครับ
Legacy of the Masters - ใส่เพื่อให้ได้โบนัส Attack Roll +2 และดาเมจ +2 สามารถเอาไว้หักลบกลบหนี้กับโหมด All-In ได้ครับ
Helldusk Boots - ใส่เพื่อให้สามารถใช้สกิล Hellcrawler (คล้ายวาร์ปแบบ Misty Step แต่ทำดาเมจไฟในจุดที่วาร์ปไปด้วย) และที่สำคัญ มีสกิล Reaction Infernal Evasion ที่ถ้าเราเฟลในการ Saving Throw เราจะสามารถใช้แต้ม Reaction ให้ Saved แทนได้
Amulet of Greater Health - ปรับ Constitution ของเราให้เป็น 23 ของดีที่ต้องมีไว้ในครอบครอง
Ring of Protection - ใส่เพื่อเพิ่ม AC+1 และ Saving Throw +1
Band of the Mystic Scoundrel - เมื่อเราโจมตีด้วยอาวุธโดนศัตรู จะทำให้เราสามารถร่ายเวทย์สาย Enchantment ด้วย Bonus Action ได้ ถือเป็นการใช้ Bonus Action ที่ดีมากๆครับ แม้บิ้วนี้จะสามารถใช้ Bonus Action ในการโจมตีได้ก็ตาม แต่การมีทางเลือกที่ดีในการใช้ เช่น Hold Person หรือ Crown of Madness เอาไว้ก็ไม่เสียหายครับ
Hellfire Greataxe - ขวานใหญ่แห่งไฟนรก ที่มีออฟ Thermodynamo หรือก็คือเมื่อโจมตีศัตรูโดน จะได้ค่า Heat มา 2 เทิร์น ซึ่งเป็นอีกสถานะที่ดีมากๆครับ เพราะจะสามารถแปลงค่า Heat นี้ให้เป็นดาเมจไฟเพิ่มให้เวทย์หรือการโจมตีของเราได้ โดยจะ Stack ได้สูงสุด 7 เทิร์นและเราสามารถแปลง Heat เป็นดาเมจตอนไหนก็ได้ แต่จะได้หน่วยตามจำนวนเทิร์นตอนนั้นแทน แนะนำว่าให้ใช้ทุกครั้งที่มีแต้มประมาณ 6-7 ครับ เพราะบิ้วนี้โจมตีศัตรูแค่ 3 ทีก็ได้ Heat 6 เทิร์นแล้ว และในบิ้วนี้เราไม่ต้องกังวลเรื่องดาเมจที่จะเข้าตัวเราด้วยครับ เพราะเกราะ Helldusk จะทำให้คุณมี Resistance ในธาตุไฟ แถมยังลดดาเมจทุกอย่างที่โดนลง 3 หน่วย ดังนั้น ดาเมจไฟจาก Heat จะเข้า 0 ตลอดครับ (ดูคลิปในหมวด Bonus ได้นะ)
Drakethroat Glaive - ไม่ได้ใส่ แต่เอาไว้ร่ายสกิล Draconic Elemental Weapon ให้กับ Hellfire Greataxe ครับ
Gontr Mael - ใส่เพื่อเอาสกิล Celestial Haste ของธนูนี้เท่านั้นครับ ซึ่งให้ผลเหมือน Haste เลยแต่ตอนหลุด Concentrate จะไม่ทำให้มึน และระยะเวลามีผลแค่ 5 เทิร์นครับ
Items อื่นๆที่จำเป็นสำหรับบิ้ว
Elixir of Bloodlust

ยาเทพที่ทุกคนต้องมี ผลของมันคือ เมื่อฆ่าศัตรูได้ จะได้ Action Point คืนมา 1 แต้ม มีผล 1ครั้ง/1เทิร์น นั่นหมายความว่า ถ้าคุณฆ่าศัตรูได้ในเทิร์นนั้น คุณจะโจมตีฟรีได้อีก 3 ครั้งครับ


Pearl of Power Amulet

เหมือนกับ Spellcrux Amulet ครับ แต่รี Spell Slot ได้แค่เวล 1 2 3 เท่านั้น เป็นสร้อยสำรองที่ดีอีกอันนึง เพราะบิ้วเรามีเวทย์ถึงแค่เวล 4 เอง หาซื้อได้จาก Omeluum ที่ Myconid Colony ใน Underdark ของ Act 1 ครับ


Illithid Powers & Passive Bonus ที่จำเป็น
MAJOR SPOILER ALERT!!!

จริงๆถึงไม่มีพวกนี้ก็เล่นได้ แต่ถ้าอยากไปให้สุดก็ควรต้องมีบัฟและสกิลพวกนี้ครับ ผมจะแบ่งออกเป็นสองส่วนหลักๆก่อน คือ 1.Illithid Powers ที่แนะนำและ 2.Permanent Passive Buff ที่จำเป็นสำหรับบิ้วนี้

Illithid Powers ที่แนะนำกับบิ้วนี้

ผมจะยกมาแค่อันที่จำเป็นๆนะครับ แต่ถ้ามีโอกาสอัพเต็มก็ทำได้เลยครับ ได้ใช้คุ้มแน่นอนเพราะสกิลพวกนี้มัน OP เอามากๆ และก็ไม่ได้ส่งผลกับเนื้อเรื่องในเกมมากมายอย่างที่เรากลัวด้วยครับ

Luck of the Far Realms
เมื่อเราโจมตีศัตรูโดน จะสามารถบังคับติด Critical ได้ ใช้ได้ 1 ครั้ง / 1 Long Rest ถือว่าเป็นสกิลที่จำเป็นสำหรับสายโจมตีเลยครับ เพราะเราจะบังคับติดคริได้
Cull the Weak
เมื่อเราลดเลือดศัตรูให้ต่ำกว่าจำนวน Tadpole ในหัวเรา ศัตรูจะตายทันทีและระเบิดทำดาเมจพลังจิตใส่ศัตรูใกล้เคียงอีก 1-4 หน่วย เป็นสกิลที่ดีมาก สำหรับคนที่ใช้พลังของ Tadpole เยอะๆอยู่แล้ว เพราะถ้าคุณอัพเกรดจนครบ แค่คุณลดเลือดศัตรูลงมาเหลือแค่นิดหน่อยก็สามารถฆ่าศัตรูตัวนั้นได้ทันที พูดง่ายๆคือ ยิ่งใช้หนอนมาก สกิลนี้ก็ยิ่งได้ผลดีมากขึ้น และบอกลาความเซ็งตอนศัตรูเหลือเลือด 1 ไปได้เลย
Fly
อีกสกิลที่ตรงตามตัวเป๊ะๆเลย ทำให้เราสามารถเคลื่อนที่ได้ดีกว่าเดินปกติมากๆ ซึ่งสกิลนี้จะได้มาฟรีๆ เมื่อเรายอมเปิดใจรับพลังจาก Astral Tadpole ที่ได้จาก The Emperor ในตอนต้น Act 3 ครับ (แต่ต้องยอมลดสวยลดหล่อ มีเส้นเลือดดำขึ้นหน้านะ 5555)

ส่วนอันอื่นๆนั้นก็แล้วแต่เลยครับ เพราะสกิลอย่าง Blackhole หรือ Mind Blast ก็ดีมากๆ แต่คุณควรต้องได้บัฟ Awakened จาก Githyanki Crèche ก่อนถึงจะคุ้ม (จะอธิบายบัฟนี้ในหัวข้อ Permanent Passive Buff ครับ) แต่ถ้าอัพเต็มได้ก็จะดีครับ เพราะ Cull the Weak นั้นใช้ได้ผลดีขึ้นมาก

Permanent Passive Buff ที่จำเป็นกับบิ้วนี้

ผมจะยกมาแต่อันที่จำเป็นนะครับ แต่ถึงพลาดไปก็ไม่เป็นไร แค่อย่างน้อยขอให้ได้บัฟ Cha+2 จากตอน Act 3 ได้ก็พอ ... ถ้าไม่ได้บัฟเลยถามว่าเล่นได้มั๊ย ก็เล่นได้ครับ แต่จะไม่สุดเท่าคนที่มีบัฟแค่นั้นเอง

[Act 1] Passive: Awakened จากเครื่อง Zaith'isk ใน Crèche Y'llek
บัฟนี้จำเป็นมากๆสำหรับคนที่ใช้พลัง Tadpole และไม่ค่อยได้ใช้ Bonus Action เป็นดาเมจหลัก เช่น พวกนักเวทย์ทั้งหลาย และบิ้วนี้ก็เช่นกันครับ ... เมื่อคุณ Awakened แล้วมันจะทำให้ Illithid Powers ทุกอย่างที่ใช้ Action Point มาใช้ Bonus Action แทน ถือว่าเป็นทางเลือกในการใช้ Bonus Action ที่ดีครับ แต่ยังไง ถ้าเล่นตี้ก็ต้องลองดูความจำเป็นและเหมาะสมของ Role คนในทีมด้วยนะครับ บางคนอาจจะต้องการมันมากกว่าเรานะ

[Act 1] Abilities+1 จากหนังหัวของป้าแม่มด Ethel
ได้จากการปราบป้า Ethel ในรังแม่มดที่ Act 1 ก่อนป้าจะตายจะทำการต่อรองให้เราไว้ชีวิตโดยแลกกับหนังหัวเพิ่มค่า Abilities ค่าใดค่าหนึ่ง จำนวน 1 แต้มครับ ... เช่นเดิม ลองดูความจำเป็นคนในทีมด้วยก็ดีครับ

ถ้าเราจะเอาค่าโบนัสจากข้อนี้ ผมล็อคคอให้เลือก Cha เท่านั้นครับ ห้ามเอาอย่างอื่นมานะ ไม่งั้นจะตีมือเลย 5555+

[Act 3] Abilities+2 จากกระจก Mirror of Loss
หลังจากทำเควสของ Shadowheart ใน House of Grief แล้ว เข้าไปห้องด้านในที่เจอพ่อแม่ของน้อง จะมีกระจก Mirror of Loss อยู่ ตรงนี้ผมแนะนำให้เซฟไว้ก่อนนะครับ เพราะกระจกนี่ต้องผ่าน Skill Check หลายรอบมาก ผมจะเรียงไว้ให้คร่าวๆประมาณนี้
1. การ Activate กระจก ต้องผ่าน Skill Check สองอย่างคือ Religion (DC20) และ Arcana (DC25)
2. หลัง Activate กระจกแล้ว คนที่จะเพิ่ม Stat ต้องผ่าน Skill Check Religion (DC25) ของใครของมันเป็นรายบุคคลไป
3. หลังจากผ่านเช๊คทั้งหมดแล้ว เราจะสามารถมอบ Abilities 1 ใน 6 อันไหนก็ได้ของเราให้กับกระจก 2 แต้ม แล้วจะสามารถเลือกเพิ่ม Abilities 1 ใน 6 อันไหนก็ได้ของเรา 2 แต้มแทน เช่น คุณอาจะแลก Wis-2 แล้วเอา Cha+2 แทน
4. หลังจากเลือกได้แล้ว ให้ใช้ Remove Curse ลบคำสาปที่โดน -2 อยู่ ก็จะทำให้เรามีบัฟ +2 Abilities ที่เราเลือกไว้ฟรีๆอย่างถาวรครับ
5. ทำซ้ำข้อ 2-4 กับตัวละครอื่นๆได้ ยกเว้นจะเฟล Skill Check คนนั้นจะอดบัฟนี้ไปเลยถาวรครับ

[Act 3] Cha+1 จากกระจก Mirror of Loss
วิธีทำตามในคลิปด้านล่างได้เลยครับ แต่ผมจะพิมพ์อธิบายไว้คร่าวๆประมาณนี้
1. Activate กระจกเหมือนเดิม
2. อย่าเพิ่งผ่าน Religion Check รายบุคคล ให้แลก Stat -2 เพื่อสุ่มหา Patriar's Memory ครับ ... ใช่ครับ สุ่มนะครับ อาจจะไม่ได้ 100% ดังนั้นควร Quicksave ไว้ก่อนด้วยครับ
3. สุ่มจนกว่าจะได้ข้อความแบบในรูปด้านล่าง
4. กลับไปทำ Religion Check แล้วแลก Stat ตามปกติครับ

https://www.youtube.com/watch?v=ISy1fKM_mWo

ซึ่งจาก Permanent Passive Buffs ทั้งหมดที่กล่าวมา คุณจะมีโอกาสเพิ่ม Cha ได้ +2,+3 และ +4 แต้มเลย ... สำหรับคนงกที่ได้บัฟถึง Cha+4 ก็ให้ปรับ Abilities ตามตารางเวล 1 ของ Cha+2 ไปครับ เพราะถ้าใช้ตามตารางช่อง Cha+3 สุดท้ายคุณก็จะมีแต้ม Cha สูงสุดที่ 24 แต้มอยู่ดีเพราะบัฟมันบวกเกินกว่า 24 ไม่ได้ ดังนั้นเอาไปลงแต้มค่าอื่นคุ้มกว่าครับ

พอถึงจุดนี้ ตอนเลเวล 12 คุณก็จะมี Cha อยู่ที่ 22 หรือ 24 แต้มแล้ว ก็เพียงพอที่จะเล่นบิ้วนี้ได้สบายๆครับ
วิธีการเล่นของบิ้วนี้โดยละเอียด
Role และแนวทางการเล่น
แน่นอนครับ Role ของบิ้วนี้คือ Melee Damage Dealer แต่เนื่องจากบิ้วนี้มีทางเลือกหลายอย่าง เช่น ใช้เวทย์ CC ศัตรูด้วย Hold Person ได้, ยิงเวทย์ Fireball ทำดาเมจแบบ AOE ได้, โจมตีระยะไกลและผลักศัตรูด้วย Eldritch Blast ได้ ดังนั้น จะเรียกว่าเป็น Universalist Vanguard ก็ได้ครับ เพราะสามารถเล่นได้หลากหลายแนวมาก แต่จะเน้นเป็นแนวโจมตีซะส่วนใหญ่ และแนวทางที่ผมจะแนะนำนั้น คือ การใช้การโจมตีธรรมดานี่แหละครับ

ก่อนลงไปดูวิธีเตรียมตัวและวิธีเล่น เรามาดูดาเมจที่เราจะทำได้กันก่อน ถ้าคุณบัฟได้เต็มที่ มี Cha 24 แต้ม คุณจะได้ดาเมจเป็นจำนวน ดังนี้
  • 1-12 Slashing ดาเมจจาก Hellfire Greataxe
  • +7 Slashing ดาเมจจาก Cha Modifier ที่เป็นผลจากสกิล Bind Pact Weapon
  • +7 Slashing ดาเมจจาก Cha Modifier ที่เป็นผลจากสกิล Aura of Hate
  • +10 Slashing ดาเมจจากสกิล Great Weapon Master: All In
  • +2 Slashing ดาเมจจากสกิล Arming Enhancement ของถุงมือ
  • +3 Slashing ดาเมจจาก Weapon Enchantment +3 (+2 จากอาวุธและ +1 จาก Draconic Elemental Weapon)
  • 1-6 Fire ดาเมจจาก Hellfire Greataxe
  • +7 Fire ดาเมจจากสกิล Heat Convergence เมื่อคุณมี Heat 7 เทิร์น
  • 1-4 ดาเมจธาตุที่เลือกจากบัฟสกิล Draconic Elemental Weapon
ดังนั้นในการโจมตี 1 ครั้งคุณจะทำดาเมจได้ประมาณ 39-58 หน่วย นี่ยังไม่นับรวมตอนติดคริหรือเพิ่มดาเมจด้วย Divine Smite เข้าไปอีกนะครับ แถมคุณยังสามารถโจมตีได้สูงสุดถึง 10 ครั้ง / 1 เทิร์น (3 Action Point + 1 Bonus Action) ... ซึ่งอาจจะไม่ได้แรงขนาดบิ้วเมต้าโหดๆ แต่ก็แรงพอที่จะ Solo ไฟท์โหดๆได้เลยล่ะครับ

สำหรับใครที่ตาลุกวาวเต็มไปด้วยเปลวไฟที่พร้อมจะเผาไหม้กันแล้ว ลงไปดูวิธีการเตรียมตัวกันได้เลย

การเตรียมพร้อมแบบ Step by Step
1. กินยา Elixir of Bloodlust
สรรพคุณตามที่แจ้งไว้แล้วครับ เท่ากับว่าถ้าคุณฆ่าศัตรูได้ในเทิร์นนั้น คุณจะโจมตีเพิ่มได้อีก 3 ทีเลย หลายๆคนที่อ่านบิ้วไกด์ผมบ่อยๆก็คงเดาทางได้ละ 555+
2. ดรอปอาวุธ Hellfire Greataxe ไว้ที่พื้น ใส่ Drakethroat Glaive แล้วบัฟดาเมจธาตุให้อาวุธนั้น
มาถึงขั้นตอนในการเพิ่มดาเมจให้ตัวเรากันแล้วครับ โดยเริ่มจากการใส่ง้าว Drakethroat Glaive เพื่อให้ได้สกิล Draconic Elemental Weapon ซึ่งสกิลนี้จะบัฟให้อาวุธใดๆมีดาเมจธาตุที่เลือก 1-4 ดาเมจ (ยกเว้นธาตุไฟเพราะอาวุธมันมีอยู่แล้ว) ... จริงๆ สายอาวุธแทบทุกบิ้วผมก็ใช้ง้าวนี้บัฟดาเมจธาตุตลอดนะครับ คงไม่ต้องบอกสรรพคุณเพิ่มแล้วล่ะมั้ง
3. ใช้สกิล Bind Pact Weapon กับ Hellfire Greataxe
สำคัญมากครับ เพราะพอเรา Bind ขวานแล้ว จะใช้ Cha Modifier เป็นตัว Modifier ของอาวุธแทน ทำให้เราได้ดาเมจเพิ่มเน้นๆเลย แถมยังกันอาวุธหลุดมือได้ และทำให้สามารถโจมตีได้ 3 ครั้งต่อ 1 Action Point ได้ด้วย
4. ร่าย Celestial Haste ก่อนเข้าการต่อสู้ (Optional)
เนื่องจากบิ้วนี้มี Celestial Haste จากธนูให้ใช้เพียงแค่ครั้งเดียว คุณอาจจะเก็บไว้ใช้ทีหลังก็ได้นะครับ อันนี้ขึ้นอยู่กับว่าอยากจะจัดการศัตรูให้เร็วขึ้นแค่ไหน

การใช้งานบิ้วนี้ในการต่อสู้แบบ Step by Step
ในการต่อสู้จริงๆนั้น มีหลากหลายหนทางในการเล่นมากครับ ผมจะยกเอาเท่าที่ผมเคยลองมาเป็นแนวทางให้ละกันนะ ใครที่อยากเล่นแหวกแนวกว่านี้ ก็ลองดูได้เลยครับ เกมนี้มันให้อิสระเราเต็มที่อยู่แล้วฮะ
1. โจมตีศัตรูในระยะประชิด และฆ่าให้ได้อย่างน้อย 1 ตัว เพื่อให้ผลของยา Bloodlust ทำงาน
เป็นสิ่งแรกที่ควรทำก่อนเลย ข้อนี้ผมแนะนำให้เน้นตัวที่เลือดน้อยๆ หรือพวกนักเวทย์ก่อนเพื่อเอา Action Point ฟรีจากผลของยา Bloodlust ครับ
2. ใช้ Heat Convergence เพิ่มดาเมจให้กับสกิล Hellflame Cleave ของขวาน โจมตีใส่ศัตรูที่อยู่ใกล้กันเป็นกลุ่ม
ท่านี้เป็นท่าพิเศษของขวานนี้เลยครับ โดยคุณจะทำการโจมตีเป็นโคนระยะ 3 เมตร ซึ่งจะทำดาเมจกายภาพของอาวุธปกติ และดาเมจไฟประมาณ 2-12 หน่วย แต่ที่โหดจริงๆ คือการทำให้ศัตรูติดสถานะ Roiling Hellfire ที่มีผลคล้ายๆกับ Burned แต่ทำดาเมจไฟเทิร์นละ 6-36 หน่วยเลย เรียกได้ว่ารุนแรงมากครับ ... แต่ก็มีข้อเสียนะ คือ 1. Hellfire นั้น ในคำอธิบายบอกว่าจะเป็นดาเมจที่ไม่สนใจ Fire Resistance แต่เอาจริงๆก็ยังติดความต้านทานไฟอยู่ครับ ทำให้ศัตรูที่มีความต้านไฟโดนดาเมจเบาลง และ 2.สกิลอาวุธนี้ ไม่นับเป็น Weapon Action ปกติ หรือก็คือไม่ได้รับผลจาก Extra Attack นั่นเอง เหมือนเราร่ายเวทย์นั่นแหละ ก็ยังดีที่ Recharge ทุกๆการ Short Rest อยู่ครับ
3. ใช้ Heat Convergence เพิ่มดาเมจให้กับเวทย์ Fireball โจมตีใส่ศัตรูที่อยู่กันเป็นกลุ่ม
โดยปกติเวทย์ Fireball จะมีดาเมจไฟประมาณ 8-48 หน่วยที่เลเวล 3 ... แต่ถ้าเราเพิ่ม Heat +7 เข้าไปจะทำให้เราทำดาเมจจากเวทย์นี้ได้ประมาณ 15-55 หน่วยเลยทีเดียว แถมยิ่งถ้ายิงโดนหลายตัวก็ยิ่งคุ้มมากๆครับ ระวังตัวเราและเพื่อนอยู่ในรัศมีเวทย์ด้วยล่ะ
4. หลังโจมตี ใช้ Bonus Action ในการร่ายเวทย์ Hold Person ใส่ศัตรูเก่งๆ
จะร่ายเวทย์สาย Enchantment อื่นๆก็ได้นะครับ แต่ที่ยอดนิยมกันเลยคือ Hold Person ครับ แถมบิ้วนี้เรามี Cha Modifier สูง ทำให้ค่า Spell Save DC สูงประมาณ 19 แต้ม ก็มีโอกาสที่ศัตรูจะ Save ผ่านยากอยู่ ... หลังจาก Hold Person ศัตรูเก่งๆได้แล้ว ก็ได้เวลาเข้าไปยำเผ็ดๆให้สาแก่ใจครับ
5. ใช้ Divine Smite เลเวล 1-2 ในการทำดาเมจเพิ่ม
ไม่ว่าจะเป็นการเก็บศัตรูที่เหลือเลือดนิดหน่อย หรือการใช้ตอนติดคริก็ตาม Divine Smite ก็ยังเป็นสกิลที่ทำดาเมจแสงได้โหดเหี้ยมอยู่ครับ แต่ผมแนะนำให้ใช้แค่ Spell Slot เลเวล 1-2 ของคลาส Paladin นะ ... เนื่องจาก Warlock Spell Slot เลเวล 3 ทั้ง 2 ช่อง คุณอาจจะเก็บไว้ใช้กับเวทย์อย่าง Counterspell หรือ Smite ใส่บอสโหดๆแทน อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับควาเหมาะสมของสถานการณ์ครับ เช่น ถ้าศัตรูเหลือเลือดแค่ 6 หน่วย คุณก็กด Divine Smite เลเวล 1 ก็พอ แต่ถ้าเหลือเลือด 15 หรือโจมตีติดคริ คุณอาจจะยอมเสีย Warlock Slot เวล 3 เพื่อเอาดาเมจสูงๆแทนก็ได้ ... และเนื่องจาก Warlock Spell Slot จะรีให้ทุกครั้งหลังจาก Short Rest ทำให้เราไม่จำเป็นที่จะต้อง Long Rest หลังจาก Smite จนหมดเหมือนบิ้วพาลาดินปกติครับ
6. ใช้ Eldritch Blast ในการโจมตีศัตรูระยะไกล
เพราะทำดาเมจได้แรง แถมยังยิงผลักศัตรูได้สูงสุดถึง 3 ตัวเลย ก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ครับ ว่าเหมาะสมจะเสีย Action Point 1 แต้มสำหรับการยิงเวทย์นี้ใส่ศัตรูหรือไม่
7. ใช้สกิล Lay on Hands ในการฮีลหรือเวทย์บัฟต่างๆของคลาส Paladin
อยากเปลี่ยนเป็นสายฮีลใจงั้นเหรอ ... มองหาเวทย์และสกิลทั้งหลายจาก Spells ของพาลาดินสิครับ ไม่ว่าจะฮีล จะบัฟ จะรักษา จะป้องกันพิษ จะอะไรก็ตามที่คุณต้องการเลย ... แต่ผมแนะนำให้เก็บ Slot เวทย์ไว้ Smite ทำดาเมจดีกว่าครับ 555+

นี่แค่เฉพาะที่ผมเคยลองเล่นและคิดออกนะครับ เชื่อว่ายังมีวิธีเล่นแบบอื่นอยู่อีก ใครเจอไอเดียสนุกๆจากบิ้วนี้ อย่าลืมเอามาพูดคุยแบ่งปันกันนะ
Conclusion
เป็นไงบ้างครับ กับบิ้วอัศวินสายร้อนแรงไม่แพ้แดดก่อนสงกรานต์บ้านเราเลย ไม่รู้ว่าจะถูกใจผู้ชื่นชอบสายอัศวินด้านมืดขนาดไหน ยังไงก็ลองเอาไปเป็นแนวทางปรับๆกันดูนะครับ ... ช่วงนี้ผมได้นัดกับทีมงาน จะพยายามมาไลฟ์มาเล่น Baldur's Gate 3 กันทุกๆสัปดาห์ ใครที่ติดตามผมอยู่ใน Twitch ก็รอดูความฮาความป่วนกันได้เลยครับ 555+

ยังไง หากใครมีข้อแสนอแนะเพิ่มเติม หรือมีบิ้วอะไรมาแนะนำหรืออยากได้บิ้วแนวไหน พิมพ์คุยกันได้เลยนะครับ ผมเองตอนนี้ก็มีไอเดียค้างอยู่บิ้วสองบิ้วเอง และยังไม่ได้ศึกษาหรือทำการเทสจริงๆจังๆเลย ดังนั้นใครมีไอเดียแบบไหนก็เอามาแชร์กันได้เลยนะครับผม

อากาศร้อนๆ ก็แปลงค่า Heat ให้เป็นดาเมจไฟ ไล่ฟาดกันให้เต็มที่เลย ไว้พบกันใหม่บิ้วไกด์หน้าครับ
Bonus รวมคลิปการบิ้ว วิธีเล่น และเทสรัน
สำหรับใครที่ขี้เกียจอ่านเรียงความยาวๆของผมนะครับ ลองดูในคลิปด้านล่างได้เลย ผมทำเผื่อไว้ให้แล้ว ... สามารถพูดคุยสอบถามได้จากในคลิปหรือในไกด์นี้ได้เลยนะครับ

คลิปการทำบิ้วตั้งแต่ Level 01-12


คลิปวิธีเล่นแบบคร่าวๆและอุปกรณ์ที่ใช้


คลิป Tactician Solo Test Run

Link Guide&Build อื่นๆที่ผมได้ทำไว้
สำหรับใครที่ขี้เกียจเลื่อนหา หรืออาจจะหาไกด์ไหนไม่เจอ ลองกดไปดูในสารบัญรวมเล่มนี้ได้เลยครับ
https://test-steamproxy.haloskins.io/sharedfiles/filedetails/?id=3140547253