Baldur's Gate 3

Baldur's Gate 3

Not enough ratings
[BG3] Build#030 นักเวทย์แห่งแสงจันทร์จะลงทัณฑ์แกเอง
By Kingreader-K
บิ้ว Endgame (Act 3 Lv12) สำหรับผู้ที่ชอบบิ้วเซเลอร์มูน เปลี่ยนโหมดยากให้กลายเป็นโหมดง่าย ด้วยการสาดแสงจันทร์ใส่ศัตรูที่ทำอะไรเราไม่ได้จนตาย โดยไกด์นี้ จะอธิบายการทำบิ้ว, อุปกรณ์ที่จำเป็น, และวิธีการเล่นให้อย่างละเอียดระดับโมเลกุล

อ้างอิงจากเกม Version 4.1.1.5022896 (Patch 6 Hotfix 25)
   
Award
Favorite
Favorited
Unfavorite
Introduction & Overview
คุณอยากเล่นบิ้วที่เรียกได้ว่า Cheesy จนศัตรูโหมด Honour ยังหงอยมั๊ย?
คุณอยากได้บิ้วสายอัญเชิญที่เรียกสมุนออกมาได้เยอะมากๆหรือไม่?
และคุณชอบการเล่นคลาสดรูอิทที่มีความสามารถในการทำดาเมจแบบบิ้ว 001 ด้วยมั๊ย?


สวัสดีท่านผู้อ่านที่รักทุกท่านครับ ในที่สุดก็มาพบกับผม Kingreader-K พร้อมกับบิ้วที่ 30 ซึ่งคิดว่าน่าจะเป็นบิ้วไกด์สุดท้ายตามเป้าหมายที่วางไว้แล้ว ... เดี๋ยวๆ!!! อย่าเพิ่งร้องไห้ อนาคตยังไม่แน่นอนฮะ ผมอาจจะกลับมาทำบิ้วไกด์อีกก็ได้นะ แต่อาจจะไม่ใช่เร็วๆนี้ครับ

เอาล่ะ มาเข้าประเด็นกันดีกว่า จริงๆผมกะไว้ว่าจะใช้เวลาหาไอเดียมาทำบิ้วซักพัก จนกระทั่งไปดูคลิปนึงใน Youtube ที่เป็นต้นแบบให้ผมเอามาปรับ ผสมความสามารถของบิ้วสายฟ้า 001 จนมาเป็นบิ้วนี้ พร้อมกับเห็นไอเดียจากเพื่อนในคอมมูท่านนึงเกี่ยวกับคอมโบเวทย์ที่จะทำให้เกมนี้กลายเป็นโหมดง่ายไปเลย ... เข้าใจว่าอาจจะเป็น Exploit ของเกม แต่ก็สามารถใช้ได้อยู่ในแพทช์ปัจจุบัน ยังไงผมต้องขอขอบคุณไอเดียและข้อมูลจากเพื่อนท่านนั้นด้วยนะครับ ผมเลยได้มีบิ้วไกด์นี้ออกมาให้ทุกท่านได้อ่านเล่นกัน

สำหรับคนที่ชอบการเล่นคลาส Druid ที่เน้นการ Summon หรือการใช้เวทย์สายฟ้าทำดาเมจมหาศาลแบบบิ้ว 001 ได้ คุณมาถูกที่แล้วครับ แต่ในบิ้วนี้เราขอเสนอแนวทางการเล่นที่อาจจะไม่ได้รุนแรงมาก แต่เล่นได้สบายแบบสุดๆหรือจะเรียกว่า Easy Mode ก็ยังได้ ... ใช่แล้วครับ พระเอกก็คือ Moonbeam + Sanctuary นั่นเอง

มาถึงตรงนี้หลายคนอาจจะเก็ทในสิ่งที่ผมจะนำเสนอละ แต่สำหรับคนที่ยังไม่เห็นภาพ ลองนึกสภาพที่เราอยู่ในเวทย์ Sanctuary ศัตรูเลยไม่สามารถโจมตีเราตรงๆได้ แต่เราเองยังสามารถใช้เวทย์ Moonbeam ทำดาเมจใส่ศัตรูได้เรื่อยๆเป็นเวลา 10 เทิร์นดูสิครับ ... เรียกได้ว่าเซเลอร์มูนก็เซเลอร์มูนเหอะ 5555+


การสร้างตัวละครที่ Level 01
Druid Lv1

บอกไว้เลยว่าบิ้วนี้ เป็นอีกบิ้วที่บิ้วง่ายมากๆถึงมากที่สุดครับ เพราะด้วยความที่คลาสที่เราจะอัพนั้น ไม่จำเป็นต้องเลือกเวทย์ใดๆ ด้วยความที่เวทย์ของ Druid เป็นเวทย์แบบที่เราสามารถสลับ Prepared Spells ได้เรื่อยๆ แถมบิ้วนี้ยังสามารถจำเวทย์ไว้ใช้ ชนิดที่เรียกได้ว่าเยอะกว่า Spell Slot ที่จะใช้ได้ซะอีกครับ 5555 ... เอาล่ะ เรามาดูวิธีการบิ้วคร่าวๆกันเลยดีกว่า

Origin/Race/Sub-Race - อันนี้อะไรก็ได้ครับ แต่ถ้าอยากให้เข้า Vibe ความเป็น Druid ก็เลือก Wood Elf หรือ Half Wood Elf ก็ได้ครับ

Cantrips - เลือกได้ 2 อัน ผมแนะนำให้เลือก Cantrip สารพัดประโยชน์อย่าง Guidance ไปซักอันครับ ที่เหลือก็เลือกได้ตามชอบเลย


Abilities - เพื่อความสุดในการร่ายเวทย์ ให้อัพ Wis เป็น 17 แต้มไว้เลยครับ ที่เหลือคืออัพ Con และ Dex ไป ส่วนตัวผมจะอัพไว้ประมาณนี้

Abilities
Score
Strength
8
Dexterity
14
Constitution
16
Intelligence
8
Wisdom
17
Charisma
10

Skills - ผมแนะนำให้อัพ Perception และ Survival ครับ เพราะพวกนี้ Passive Check บ่อยๆ แถมยังได้ประโยชน์จาก Wis Modifier ของเราด้วย ... แต่จะอัพอันอื่นก็ได้นะครับ ไม่มีปัญหา

การอัพเกรดตัวละครที่ Level 02
Druid Lv2

สำหรับ Druid เวล 2 นี้เราจะสามารถจำแลงกายตามชื่อบิ้วได้แล้วครับ และเราจะได้รับ Wild Shape Charges สำหรับแปลงร่างมา 2 แต้มต่อ 1 Short Rest หรือ Long Rest ... ก็หมายความว่า คุณจะสามารถแปลงร่างได้ 2 ครั้ง ต่อ 1 Short Rest เพราะร่างส่วนใหญ่จะใช้ชาร์จแค่ 1 แต้มเท่านั้นครับ ... แต่เราจะไม่ได้ใช้แต้มในการแปลงร่างครับ เพราะเราจะเอาไว้ใช้กับสกิลอีกอันแทน

Subclass - เลือก Circle of the Spores ครับ เพราะเราจะได้สกิลที่จำเป็นมา นั่นก็คือ ...

Symbiotic Entity
ใช้แต้ม Wild Shape Charges 1 แต้มในการเพิ่มเลือดชั่วคราวจำนวน 4 หน่วยต่อเลเวล Druid โดยในขณะที่เรามีเลือดสำรองนี้ เราจะสามารถทำดาเมจ Necrotic เพิ่มได้ 1-6 หน่วย และเรายังสามารถใช้สกิล Halo of Spores ที่จะใช้ Reaction ทำดาเมจได้สองเท่าจากปกติด้วยครับ

ไม่เพียงเท่านี้ หากใช้สกิลนี้คู่กับเสื้อเกราะเบาของสายนี้โดยเฉพาะ จะทำให้เราสามารถปล่อยควัน Spore พิเศษได้ 1 ในนั้นคือ Haste Spores ที่จะทำให้เราหรือใครก็ตามที่ดมควันนี้ ได้ผลเหมือน Haste แบบไม่ต้องมึนเป็นเวลา 1 เทิร์นครับ และนี่ก็คืออีกหนึ่งเหตุผลที่สกิลนี้มีประโยชน์อย่างมากเลยล่ะ



Prepare Spells - อันนี้ไปเลือกข้างนอกทีหลังได้ ต่อจากนี้ผมจะขอข้ามส่วนนี้ไปเลยละกันนะครับ
การอัพเกรดตัวละครที่ Level 03
Druid Lv3

ในเลเวลนี้เราไม่ได้เลือกอะไรครับ แต่จะได้เวทย์เลเวล 2 มาใช้ ซึ่งผมแนะนำเวทย์อย่าง Hold Person, Heat Metal และที่สำคัญที่สุด ...

Moonbeam
เวทย์ลำแสงจันทร์ที่ทำดาเมจแสง 2-20 หน่วย ตอนใช้ในเลเวล 2 และเพิ่มขึ้น 1-10 หน่วยในทุกๆเลเวลที่ Upcast (สูงสุดทำดาเมจ Radiant 6-60 หน่วย ที่เลเวล 6) และเป็นเวทย์ที่ต้อง Concentrate เป็นเวลา 10 เทิร์น ... ซึ่งในระยะเวลา 10 เทิร์นนั้น คุณจะสามารถใช้ Action Point กับสกิล "Move Moonbeam" ที่สามารถย้ายตำแหน่งลำแสงได้

ในส่วนของการทำดาเมจนั้น หลายคนอาจจะบอกว่า ดาเมจแสงไม่กี่สิบหน่วยไม่น่าจะมีผลอะไรมาก แต่เดี๋ยวก่อน ... คุณรู้หรือไม่ว่า ศัตรูจะโดนดาเมจ 2 ครั้งจากเลขที่แสดงไว้ครับ ครั้งแรกคือตอนที่คุณร่ายลำแสงจันทร์ใส่ศัตรู จะขึ้นดาเมจชุดแรก ... และครั้งที่สองตอนศัตรูเริ่มเทิร์นในลำแสง ใช่ครับ ตอนเริ่มเทิร์นนะครับ ไม่ใช่ตอนจบเทิร์น หมายความว่าถ้าคุณร่ายแสงใส่ศัตรูตัวไหนไว้ มันจะโดนดาเมจ 2 ครั้งอย่างแน่นอนครับ แถมถ้าคุณมี Action Point หลายแต้ม ก็ยิ่งร่าย Move Moonbeam ได้หลายรอบครับ

และที่สุดของที่สุดของเวทย์นี้คือ มันไม่นับเป็นเวทย์โจมตีศัตรู ทำให้ Sanctuary ไม่แตกด้วยครับ จากที่ผมเล่นดูเวลาร่ายเวทย์คำร่ายของตัวเราจะเป็น "Ex Textura" แปลว่า "from the weave" ซึ่งเป็นคำพูดเวลาที่เรา Summon ผมเลยคิดว่าที่มันไม่นับเป็นการโจมีเพราะมันนับ Moonbeam เป็นเวทย์แบบ Summoned Type ครับ (ข้อมูลใน Wiki ก็แจ้งไว้แบบนี้) หนักกว่านี้ คือเราสามารถใช้ Move Moonbeam ภายใต้วงเวทย์ Silence ได้ด้วย เหลือจะเชื่อ! บั๊กรึป่าวก็ไม่รู้ครับ แต่เอาเป็นว่าคอมโบเวทย์นี้กับ Sanctuary นี่คือ Game Breaking Combo มากฮะ สำหรับบิ้วนี้ต้องเลือกไว้ใช้เลยล่ะ

การอัพเกรดตัวละครที่ Level 04
Druid Lv3 / Cleric Lv1

โดยปกติไกด์ผมจะแนะนำเป็นการอัพคลาสใดคลาสนึงยาวๆแล้วให้ผู้อ่านไปปรับใช้กันเอง แต่ไกด์นี้ผมขอแนะนำให้ดิปไปคลาสนี้ตอนเลเวลนี้ครับ

Class - Cleric เลยครับ เพราะเราต้องการเวทย์ Sanctuary จากคลาสนี้นี่แหละ

Subclass - Tempest Domain เพื่อให้เราสามารถทำดาเมจจากเวทย์สายฟ้าอย่าง Call Lightning หรือ Chain Lightning จากไอเท็มได้สูงสุดครับ


Cantrips - แนะนำให้เลือก Light กับ Produce Flame ไว้เพื่อทำแสงสว่างครับ อีกอันจะเลือกอะไรก็ได้เลย


Deity - เลือกเทพที่นับถือมาครับ อะไรก็ได้อีกแหละ 555

Prepare Spells - เลือก Sanctuary ไว้เลยครับ เพราะเอาไว้คอมโบกับ Moonbeam ที่ผมอธิบายไว้ในเลเวลที่แล้ว

Sanctuary
เวทย์เลเวล 1 สายป้องกันที่เรียกได้ว่า OP มากๆครับ เพราะนอกจากจะไม่ต้อง Concentrate แล้ว เมื่อเราร่ายเวทย์นี้ใส่ตัวเองหรือเพื่อน จะทำให้ศัตรูไม่สามารถโจมตีใส่คนๆนั้นโดยตรงได้ (พวกดาเมจ AOE จากเวทย์หรืออื่นๆยังโดนได้อยู่) เมื่อเราเล่น Solo และใช้คู่กับ Moonbeam แล้ว ... บอกเลยว่าที่สุดครับ

ในการใช้งานปกติคุณก็ยังสามารถร่ายใส่เพื่อนหรือตัวเองเพื่อให้มีจังหวะเวลาหายใจหรือหนีออกจากสถานการณ์คับขันได้ครับ เรียกได้ว่า แม้จะไม่ได้ใช้คู่กับ Moonbeam ก็ยังมีประโยชน์ไม่น้อย

การอัพเกรดตัวละครที่ Level 05
Druid Lv4 / Cleric Lv1

กลับมาอัพคลาส Druid กันต่อครับ

Cantrips - เลือกเพิ่ม 1 อันที่ชอบได้เลย


Feat - เวลนี้ผมแนะนำให้เลือก Ability Improvement เพิ่ม Wis+2 แต้มไปก่อนครับ แต่ถ้าคุณอยากจะเริ่มเทิร์นเร็วกว่าคนอื่นตั้งแต่แรกๆก็เลือก Alert แทนก็ได้ครับ (+5 Initiative และจะไม่โดน Surprised)

การอัพเกรดตัวละครที่ Level 06
Druid Lv5 / Cleric Lv1

ในเวลนี้นอกจากเราจะได้เวทย์เลเวล 3 มาใช้แล้ว ยังได้สกิลที่ชื่อว่า Wild Strike มาด้วย ซึ่งสกิลนี้จะให้ผลเหมือน Extra Attack คือทำให้สามารถโจมตีได้ 2 ครั้ง ต่อ 1 Action Point แต่ได้ผลแค่ตอนอยู่ในร่าง Wild Shape เท่านั้น ถือเป็นสกิลที่จำเป็นสำหรับนักจำแลงกาย แต่ไม่ใช่กับบิ้วนี้ครับ

ที่แจ๋วจริงๆคือเวทย์ Call Lightning ครับ เพราะสามารถเอามาใช้กับสกิลของ Tempest Cleric ได้ดีมากๆ ... เป็นทางเลือกในการใช้เวทย์โจมตีแบบ AOE อีกหนึ่งทางครับ

การอัพเกรดตัวละครที่ Level 07
Druid Lv6 / Cleric Lv1

ในเลเวลนี้ เราจะได้สกิลสำหรับสาย Summon มาอีก 1 อันครับ นั่นก็คือ ...

Fungal Infestation
ใช้แต้ม Fungal Infestation Charge 1 แต้มและ Reaction ในการแปลงศพให้กลายเป็นซอมบี้เชื้อราได้ สูงสุดได้ 4 ตัวต่อ 1 Long Rest (เพราะมีชาร์จ 4 แต้ม) เป็นสกิลที่ไม่ได้มีอะไรมาก แต่สามารถใช้สร้างซอมบี้เชื้อรามาเป็นสมุนหรือเป็นโล่กำบังให้เราได้ครับ

การอัพเกรดตัวละครที่ Level 08
Druid Lv7 / Cleric Lv1

ในเวลนี้คุณจะได้เวทย์เวล 4 มาแล้ว ซึ่งในตอนนี้คุณจะสามารถใช้ Summon ดีๆได้ 2 เวทย์ครับ นั่นก็คือ

Conjure Minor Elemental
โดยเวทย์นี้เราจะสามารถเลือกอัญเชิญได้ 3 แบบ คือ
> Conjure Minor Elemental: Azer - เรียกนักรบธาตุไฟมาช่วยเรา 1 ตัว สามารถใช้ Searing Smite หรือ Overheat ทำดาเมจไฟใส่ศัตรูได้
> Conjure Minor Elemental: Ice Mephits - เรียก Mephits ธาตุน้ำแข็งมาช่วยเรา 2 ตัว สามารถขว้าง Chromatic Orb: Cold, พ่น Ice Breath หรือแม้แต่ระเบิดตัวตายเพื่อทำดาเมจน้ำแข็งใส่ศัตรูได้
> Conjure Minor Elemental: Mud Mephits - เรียก Mephits ร่างโคลนมาช่วยเรา 2 ตัว สามารถขว้าง Mud Fling, พ่น Mud Breath หรือแม้แต่ระเบิดตัวตายเพื่อทำดาเมจและหน่วงการคลื่อนที่ใส่ศัตรูได้

Conjure Woodland Being
เวทย์ Summon เฉพาะของคลาสนี้ โดยจะอัญเชิญนางไม้ Dryad 1 ตัวมาช่วยเราต่อสู้ ... ที่สำคัญคือ Dryad เองก็สามารถอัญเชิญภูติไม้ Wood Woad มาช่วยสู้ได้อีก 1 ตัว เรียกได้ว่า Summon ซ้อน Summon กันเลยทีเดียว ถึงจะไม่ได้ทำดาเมจหลักโหดๆได้ แต่ก็ช่วยล็อคช่วยล่อศัตรูได้ดีมากๆครับ

การอัพเกรดตัวละครที่ Level 09
Druid Lv8 / Cleric Lv1

Feat - เลือกอีกอันที่ไม่ได้เลือกตอนเลเวล 5 ไปเลยครับ รอบก่อนผมเลือก ASI รอบนี้ก็เลือก Alert ไปครับ

การอัพเกรดตัวละครที่ Level 10
Druid Lv9 / Cleric Lv1

มาถึงเลเวล Druid เลเวลสุดท้ายแล้ว เราจะได้เวทย์เวล 5 มาใช้ครับ ซึ่งผมแนะนำเวทย์ดีๆ 2 อันนี้เลย

Mass Cure Wounds
เวทย์ฮีลหมู่ที่ดีมากๆอันนึงเลยครับ สามารถฮีลตัวคุณเองและเพื่อนในระยะ 18 เมตร ได้พร้อมกันถึงครั้งละ 6 คน ... ถึงจะใช้ Slot เวทย์เวล 5 แต่เราไม่ได้ใช้เวทย์ระหว่างแปลงร่างอยู่แล้ว ก็ถือเป็นทางเลือกในการฮีลหมู่ที่ดีครับ

Conjure Elemental
เวทย์อัญเชิญภูตแห่งธาตุ โดยเราสามารถเลือกได้ 1 ตัวครับ
> Conjure Elemental: Air Elemental - ภูตผู้ใช้สกิลธาตุสายฟ้าและลม
> Conjure Elemental: Earth Elemental - ภูตผู้ใช้สกิลธาตุดินและโคลน
> Conjure Elemental: Fire Elemental - ภูตผู้ใช้สกิลธาตุไฟ
> Conjure Elemental: Water Elemental - ภูตผู้ใช้สกิลธาตุน้ำแข็ง

ซึ่งต่างธาตุก็จะมีจุดเด่นจุดด้อยไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับว่าคุณอยากได้ธาตุอะไรมาใช้งานครับ แต่ถ้าคุณมี Slot เวทย์เวล 6 คุณจะสามารถอัญเชิญภูตขั้นอัพเกรดที่เรียกว่า Myrmidon ได้ครับ โดยคราวนี้ Myrmidon แต่ละธาตุจะมีความแตกต่างกันชัดเจนดังนี้
> Conjure Elemental: Air Myrmidon - เหมาะกับการทำ Stun Lock ศัตรู เพราะสามารถ Stun ได้ถึง 2 เทิร์น แถมยังมีเวทย์พายุที่ทำให้ศัตรูนักเวทย์ติด Silence ร่ายเวทย์ในวงไม่ได้ด้วย
> Conjure Elemental: Earth Myrmidon - เหมาะกับการ Tank ดาเมจเพราะแปลงร่างเป็นเหล็กเพิ่ม AC+2 และทำให้ศัตรูล้มได้ (Prone) แต่มีข้อเสียคือไม่สามารถบินได้เหมือนธาตุอื่น
> Conjure Elemental: Fire Myrmidon - เหมาะกับการทำดาเมจไฟเป็นวงกว้าง เพราะสามารถร่าย Haste 3 เทิร์นใส่ตัวเองได้ ทำให้มี Action Point ใน 1 เทิร์นมากกว่าธาตุอื่น
> Conjure Elemental: Water Myrmidon - เหมาะกับการฮีลทีมและทำดาเมจน้ำแข็งวงกว้าง อีกทั้งยังสามารถแช่แข็งศัตรูด้วย Chilled+Wet ได้ด้วย

เรียกได้ว่าเป็นเวทย์ Summon ที่แข็งแกร่งสุดๆเลยก็ว่าได้ ... อย่างน้อยก็ในความคิดผมล่ะนะ 555+

การอัพเกรดตัวละครที่ Level 11
Druid Lv9 / Cleric Lv2

กลับมาอัพคลาส Cleric กันต่อ โดยในเลเวลนี้เราจะได้สกิลสำคัญในการใช้เวทย์สายฟ้ามาครับ

Destructive Wrath
อธิบายง่ายๆ คือ เวลาเราใช้เวทย์สาย Lightning หรือ Thunder เราจะสามารถใช้แต้ม Channel Divinity ของ Cleric 1 แต้ม เพื่อให้ได้ Maximum Damage ครับ ... อ่ะ ยังงงๆใช่มั๊ย ง่ายๆกว่านี้เลยคือ พอเราใช้เวทย์สายฟ้าหรือฟ้าผ่า จะ "บังคับ Max Damage" ทันทีที่ใช้ครับ ... เริ่มเห็นความสำคัญของสกิลนี้กันรึยัง

แต้ม Channel Divinity ที่เราจะใช้ได้ ณ Cleric Lv2-3 นั้นมีแค่ 1 แต้มครับ แต่เราสามารถเพิ่มได้จากสร้อยที่จะใส่ และแต้มจะรีให้ทุกครั้งที่เรา Short Rest ครับ ซึ่งก็หมายความว่า ใน 1 Long Rest เราจะใช้สกิลนี้ได้ทั้งหมด 6 ครั้งเลยเชียวล่ะ

การอัพเกรดตัวละครที่ Level 12
Druid Lv9 / Cleric Lv3

และแล้วก็มาถึงเลเวลสุดท้ายแล้ว ซึ่งเราจะได้เวทย์เวล 2 ที่สำคัญสำหรับสาย Summon มาอีก 1 อันครับ นั่นก็คือ ...

Aid
เวทย์สำหรับเพิ่ม Max HP ของเราและเพื่อนๆรอบตัวในระยะ 9 เมตร เป็นจำนวน 5 หน่วย (และเพิ่มอีก 5 หน่วยทุกๆเลเวลที่เรา Upcast สูงสุด +30 หน่วยที่เลเวล 6) เป็นอีกหนึ่งเวทย์ที่ OP มากๆครับ เพราะคุณสามารถร่าย 1 ครั้งได้ผลใส่เพื่อนในตี้ และ Summon ของทุกคนได้อย่างไม่จำกัดจำนวน ขอแค่อยู่ในระยะ 9 เมตรจากคนที่ร่าย ... คิดง่ายๆดูก็ได้ครับ สมมติเรามี Summon 10 ตัว แล้วใช้เวทย์เลเวล 4 ร่าย Aid จะทำให้เราและ Summon ทุกตัวเพิ่มเลือดได้ 20 หน่วย!!! แถมยังอยู่ยาวจนกว่าจะตายหรือ Long Rest เลย ... ที่หนักกว่านั้น คือคุณสามารถใช้ NPC หรือ Hireling ให้ใช้เวทย์นี้แล้วเปลี่ยนตัวออกได้ ผลของ Aid ที่ร่ายไว้ก็ยังมีอยู่ครับ ของดีป่ะล่า

Equipment อุปกรณ์สวมใส่ที่จำเป็น
MINOR SPOILER ALERT!!!

สำหรับอุปกรณ์สวมใส่ที่จำเป็นนี่ ยังไงก็คงหลีกเลี่ยงการสปอยได้ยาก ... แต่ก็เช่นเดิม ผมจะทำแถบปิด Spoiler เอาไว้ และจะ Spoil ให้น้อยที่สุดครับ

หากใครกลัวพลาดหรือแค่อยากรู้ว่าชิ้นไหนทำอะไรได้บ้างจริงๆ ให้ข้ามไปดูสรุปข้อมูลได้เลย

Helmet ส่วนหัว/หมวก
Hood of the Weave

ซื้อได้จาก Mystic Carrion ใน Philgrave's Mansion ใน Act 3 ... โดยเราสามารถเข้าไปได้หลายทางครับ แต่ทางที่ดีที่สุด คือ เข้าทางประตูลับด้านข้าง โดยใช้ Arcana เช๊คหรือไม่ก็ร่าย Knock เปิดไปเลยก็ได้ ซึ่งพอเข้าไปแล้วให้คุยกับ Mystic Carrion แล้วเข้าไปซื้อมาได้เลยครับ

Cloak ส่วนผ้าคลุม
Cloak of The Weave

ซื้อได้จาก Helsik ใน Devil's Fee ใน Act 3 ... โดยเราต้องรู้ข้อมูลเรื่องที่เธอรับใช้ Mammon และเป็นคนเปิดประตูสู่นรกชั้น Avernus ให้กับ Gortash เธอถึงจะยอมขายของพิเศษให้เรา รวมถึงผ้าคลุมนี้ด้วย

Armor/Clothing ส่วนเกราะ/ชุด
Armour of the Sporekeeper

ซื้อได้จาก Mystic Carrion ใน Philgrave's Mansion ใน Act 3 ... โดยเราสามารถเข้าไปได้หลายทางครับ แต่ทางที่ดีที่สุด คือ เข้าทางประตูลับด้านข้าง โดยใช้ Arcana เช๊คหรือไม่ก็ร่าย Knock เปิดไปเลยก็ได้ ซึ่งพอเข้าไปแล้วให้คุยกับ Mystic Carrion แล้วเข้าไปซื้อมาได้เลยครับ

Gloves ส่วนถุงมือ
Gauntlet of the Tyrant

หาได้จาก Wyrm's Crossing ใน Act 3 ... ดรอปจาก Gortash หลังจากที่เราจัดการและเอาหิน Netherstone ออกมาถุงมือแล้ว

Boots ส่วนรองเท้า
Vital Conduit Boots

ซื้อได้จาก A'jak'nir Jeera ที่ Crèche Y'llek ใน Act 1

Amulet ส่วนสร้อยคอ
Amulet of The Devout

หาได้จากชั้นใต้ดินของโบสถ์ Stormshore Tabernacle ใน Act 3

Rings ส่วนแหวน
Ring of Feywild Sparks

หาได้จาก The Blushing Mermaid ใน Act 3 ... ดรอปจาก Auntie Ethel หลังจากที่เราจัดการป้าได้แล้ว

Callous Glow Ring

หาได้จากหีบใน Vault Room ใกล้ๆกับ Balthazar ที่ Gauntlet of Shar ใน Act 2

Melee Weapon ส่วนอาวุธประชิด
Markoheshkir

หาได้จากหอคอย Ramazith’s Tower ใน Act 3 ... จากชั้นที่เจอกับ Lorroakan ให้ลงไป 1 ชั้น (กระโดดเหยียบตามเฟอร์นิเจอร์ที่ลอยอยู่) จากนั้นให้ร่ายเวทย์ See Invisible ลองส่องหาป้ายของปุ่มที่ชื่อว่า ‘Below’ พอกดปุ่มนั้น จะพาเราวาร์ปลงไปข้างล่าง แล้วเราจะเจอเสื้อนี้อยู่ในม่านพลังเวทย์ ด้านตรงข้ามกับเสื้อ Robe of the Weave โดยเราต้องผ่าน Arcana Skill Check 20 ถึงจะปลดม่านเวทย์มนต์เพื่อให้เข้าไปหยิบของได้

Staff of Spellpower

หาได้จาก House of Hope ใน Act 3 ... อยู่ในเซฟตรงข้ามทางเข้า Boudoir และเราต้องผ่าน Wisdom Check DC10 เพื่อเปิดห้องเซฟนั้น

Shield ส่วนโล่
Ketheric's Shield

ดรอปจาก Ketheric Thorm ใน Act 2 … หลังจากฆ่า Ketheric Thorm ในร่าง Avatar แห่ง Myrkul แล้ว

Range Weapon ส่วนอาวุธระยะไกล
Hellrider Longbow

หาซื้อได้จาก Ferg Drogher ที่ Rivington ใน Act 3 … โดยตอนที่เราจะไปซื้อของ ห้ามเอา Shadowheart เข้าทีมนะครับ ไม่งั้นเนื้อเรื่องของน้องจะเดินแล้ว Ferg จะหายตัวไปเลยหลังเราคุยจบ ดังนั้น ซื้อของช้อปปิ้งให้เสร็จก่อนครับ
สรุปความจำเป็นของอุปกรณ์แต่ละชิ้น
Hood of the Weave - ใส่เพื่อเพิ่ม Spell Save DC +2
Cloak of The Weave - ใส่เพื่อเพิ่ม Spell Save DC +1 และได้สกิล Absorb Element มาเพิ่ม เวลาเราโดนโจมตีด้วยธาตุใด เราจะสามารถดูดซับดาเมจครึ่งนึงมาแปลงเป็นดาเมจธาตุนั้นในการโจมตีคร้งถัดไปของเรา ไม่ได้ใช้บ่อยหรอกครับเพราะดาเมจที่เพิ่มน้อยมาก แต่ก็ถือเป็นสกิลกำไรที่ดี
Armour of the Sporekeeper - ใส่เพื่อเพิ่ม Spell Save DC +1, เมื่อคุณทำดาเมจแบบ Necrotic จะเพิ่มดาเมจได้ 1 หน่วย ... แต่ที่สำคัญจริงๆที่เราต้องการ คือ เมื่อคุณใช้สกิล Symbiotic Entity คุณจะสามารถใช้ Spore ได้ 3 แบบ อีกสองแบบคือเฉยๆ แต่ของดีคือ Haste Spores ที่จะทำให้เราได้ผลเหมือน Haste ฟรีๆ 1 เทิร์นโดยไม่ติดมึนครับ แถมควัน Spore ยังอยู่เป็นเวลา 3 เทิร์นด้วย ข้อเสียคือ มันมีผลกับทุกคนที่เดินผ่านควัน Spore ซึ่งศัตรูก็เช่นกัน ดังนั้น ถ้าโดนศัตรูล้อมรอบอยู่อาจต้องลองชั่งใจดูก่อนใช้นะครับ เพราะใช้ได้แค่แบบละ 1 ครั้ง / 1 Long Rest เท่านั้น
Gauntlet of the Tyrant - ใส่เพื่อเพิ่ม Spell Save DC +1 และได้เวทย์ Command Lv3 มาใช้ฟรี 1 ครั้ง / 1 Long Rest
Vital Conduit Boots - เมื่อเราใช้เวทย์ที่ต้อง Concentrate เราจะได้เลือดชั่วคราวเพิ่มมา 8 หน่วย ฟังดูเฉยๆ แต่ประเด็นคือ มันสามารถเอามาเพิ่มเลือดสำรองที่เราได้จากสกิล Symbiotic Entity ได้ด้วยครับ ผมเองก็งงอยู่ว่ามันเพิ่มได้ด้วยเหรอ แต่ได้จริงฮะ ใครที่อยากรู้ว่าเป็นไง ลองลงไปดูคลิปตัวอย่างได้นะครับ
Amulet of The Devout - ใส่เพื่อเพิ่ม Spell Save DC +2 และได้แต้ม Channel Divinity เพิ่มอีก 1 แต้มด้วย อันนี้ดีสุดๆ
Ring of Feywild Sparks - จริงๆแหวนนี้ผลหลักๆจะเหมาะกับ Sorcerer สาย Wild Magic แต่ที่ในเกมไม่ได้บอกคือ มันใส่เพื่อเพิ่ม Spell Save DC +1 ได้ด้วยครับ
Callous Glow Ring - ใส่เพื่อเวลาเราร่าย Produce Flame ไว้ที่มือ (ซึ่งนับว่าเป็นแหล่งกำเนิดแสง) จะทำให้เราได้ดาเมจแสง 2 แต้มฟรีๆทุกการโจมตีครับ จริงๆเงื่อนไขของมันคือทำงานเมื่อโจมตีศัตรูที่ถูกแสงส่องใส่ ใช้กับเวทย์โจมตีทั้งหลายได้ แต่กับ Moonbeam มันไม่ได้ผลนะ ... แหวนนี้สามารถเปลี่ยนเป็นแหวนอื่นๆที่คุณต้องการแทนได้ครับ
Markoheshkir - ของจำเป็นแบบขาดไม่ได้เลย นอกจากเพิ่ม Spell Save DC +1 แล้ว ยังสามารถเปิดโหมด Kereska's Favour เพื่อให้เราปรับจูนเข้ากับธาตุนั้นๆ และได้เวทย์ฟรี 2 อย่างของธาตุนั้นๆด้วย แถมยังมี Arcane Battery ที่เอาไว้ร่ายเวทย์ฟรีโดยไม่ใช้ Slot เวทย์อีก ไม้เท้า Must Have ของนักเวทย์สุดๆเลยล่ะ
Staff of Spellpower - อาวุธสำรอง ใส่ตอนหลังจาก Long Rest เพื่อใช้ Arcane Battery ร่ายเวทย์ Summon เลเวล 6 หรืออื่นๆก็ได้ครับ
Ketheric's Shield - ใส่เพื่อเพิ่ม Spell Save DC +1 และ AC+2 แถมได้ Advantage ตอน Dex Saving Throw ด้วย
Hellrider Longbow - ใส่เพื่อเอา Initiative+3 ทำให้เราได้ตาเดินก่อนชาวบ้าน(และศัตรู) และมีโอกาสทำให้ศัตรูที่โดนธนูยิง ติดสถานะ Faerie Fire ได้ 1 ครั้งต่อเทิร์นด้วย
Items อื่นๆที่จำเป็นสำหรับบิ้ว
Elixir of Battlemage's Power

ยานี้จะช่วยให้เราได้สถานะ Arcane Acuity จำนวน 3 แต้มตลอดเวลาจนกว่าจะ Long Rest เลยครับ ... ซึ่ง Arcane Acuity จะเพิ่ม Spell Save DC และ Spell Attack Roll ให้เรา 1 แต้มต่อ 1 ชาร์จ หมายความว่า เราจะได้ Spell Save DC และ Spell Attack Roll เพิ่ม 3 แต้มหลังจากกินยานี้ทันทีครับ ...หลายคนอาจจะชอบผลของ Bloodlust มากกว่า แต่เนื่องด้วยบิ้วนี้ไม่ค่อยได้ใช้วิธีฆ่าศัตรูแบบปกติเท่าไหร่ เลยไม่ค่อยมีผล แต่ถ้าคุณจะเอาบิ้วนี้ไว้ร่ายเวทย์อื่นใส่ศัตรูด้วย กิน Bloodlust แทนยานี้ก็ได้ครับ


Potion of Speed

เนื่องจากบิ้วนี้ เราจะต้องใช้ Concentrate ในการร่าย Moonbeam กับเวทย์อื่นๆ และถ้าคุณไม่มีเพื่อนคอยร่าย Haste ให้ ยานี้จึงเหมาะมากสำหรับบิ้วนี้ครับ ... แต่ต้องใช้อย่างระวังนะ เพราะถึงมันจะให้ผลเหมือน Haste แต่อยู่ได้ 3 เทิร์นเท่านั้นครับ
Illithid Powers & Passive Bonus ที่จำเป็น
MAJOR SPOILER ALERT!!!

จริงๆบิ้วนี้ถึงไม่ใช้ Illithid Powers ก็สามารถเล่นได้ครับ (ดูได้จาก Solo Test ในหมวดโบนัส) แต่ Permanent Buff เพิ่ม Wis+2 ในตอน Act 3 นี่ ยังไงก็จำเป็นต้องเอามาให้ได้นะ ซึ่งเหมือนเดิม ผมจะแบ่งออกเป็นสองส่วนหลักๆก่อน คือ 1.Illithid Powers ที่แนะนำและ 2.Permanent Passive Buff ที่จำเป็นสำหรับบิ้วนี้ อะไรที่ไม่จำเป็นผมจะไม่พูดถึงละกันนะครับ

Illithid Powers ที่แนะนำให้ใช้กับบิ้วนี้

Cull the Weak
เมื่อเราลดเลือดศัตรูให้ต่ำกว่าจำนวน Tadpole ในหัวเรา ศัตรูจะตายทันทีและระเบิดทำดาเมจพลังจิตใส่ศัตรูใกล้เคียงอีก 1-4 หน่วย เป็นสกิลที่ดีมาก สำหรับคนที่ใช้พลังของ Tadpole เยอะๆอยู่แล้ว เพราะถ้าคุณอัพเกรดจนครบ แค่คุณลดเลือดศัตรูลงมาเหลือแค่นิดหน่อยก็สามารถฆ่าศัตรูตัวนั้นได้ทันที พูดง่ายๆคือ ยิ่งใช้หนอนมาก สกิลนี้ก็ยิ่งได้ผลดีมากขึ้น และบอกลาความเซ็งตอนศัตรูเหลือเลือด 1 ไปได้เลย
Fly
อีกสกิลที่ตรงตามตัวเป๊ะๆเลย ทำให้เราสามารถเคลื่อนที่ได้ดีกว่าเดินปกติมากๆ ซึ่งสกิลนี้จะได้มาฟรีๆ เมื่อเรายอมเปิดใจรับพลังจาก Astral Tadpole ที่ได้จาก The Emperor ในตอนต้น Act 3 ครับ (แต่ต้องยอมลดสวยลดหล่อ มีเส้นเลือดดำขึ้นหน้านะ 5555)
Blackhole
สกิลจำเป็นเลยครับ ถ้าคุณอยากจะใช้ Moonbeam ให้ทำดาเมจให้ได้มากที่สุด ก็อาจจะต้องรวบศัตรูมากองรวมกันก่อนครับ ... จะอัพไปสกิลนี้ได้ เราต้องเลือกยอมเปิดใจรับพลังจาก Astral Tadpole ที่ได้จาก The Emperor ในตอนต้น Act 3 ครับ และผมแนะนำให้ตัวละครที่จะเล่นบิ้วนี้ไปเอาบัฟ Passive: Awakened ที่จะอธิบายไว้ด้านล่างด้วยครับ

Permanent Passive Buff ที่จำเป็นกับบิ้วนี้

ถ้าอยากให้บิ้วนี้แรงสุด ก็ควรจะเอาให้เต็มนะครับ แต่ถ้าพลาดไปก็ไม่เป็นไร เพราะต่ำสุดที่เราจะเพิ่ม Wis ได้เป็น 18-20 ก็ยังถือว่าพอได้อยู่ครับ

[Act 1] Passive: Awakened จากเครื่อง Zaith'isk ใน Crèche Y'llek
บัฟนี้จำเป็นมากๆสำหรับคนที่ใช้พลัง Tadpole และไม่ค่อยได้ใช้ Bonus Action เป็นดาเมจหลัก เช่น พวกนักเวทย์ทั้งหลาย และบิ้วนี้ก็เช่นกันครับ ... เมื่อคุณ Awakened แล้วมันจะทำให้ Illithid Powers ทุกอย่างที่ใช้ Action Point มาใช้ Bonus Action แทน ถือว่าเป็นทางเลือกในการใช้ Bonus Action ที่ดีครับ แต่ยังไง ถ้าเล่นตี้ก็ต้องลองดูความจำเป็นและเหมาะสมของ Role คนในทีมด้วยนะครับ บางคนอาจจะต้องการมันมากกว่าเรานะ

[Act 1] Abilities+1 จากหนังหัวของป้าแม่มด Ethel
ได้จากการปราบป้า Ethel ในรังแม่มดที่ Act 1 ก่อนป้าจะตายจะทำการต่อรองให้เราไว้ชีวิตโดยแลกกับหนังหัวเพิ่มค่า Abilities ค่าใดค่าหนึ่ง จำนวน 1 แต้มครับ ... ลองดูความจำเป็นคนในทีมด้วยก็ดีครับ

แต่บิ้วนี้จำเป็นต้องเอานะครับ เพื่อเอามาเพิ่ม Wis+1 ให้กลายเป็น 18 แต้ม จะได้ลงเลขคู่ครับ หากไม่ได้ก็ให้ Respec Wis ตอนแรกให้เหลือเป็น 16 แทน (จะได้ Wis สูงสุดที่ 20 แทนที่จะเป็น 22)

[Act 3] Abilities+2 จากกระจก Mirror of Loss
หลังจากทำเควสของ Shadowheart ใน House of Grief แล้ว เข้าไปห้องด้านในที่เจอพ่อแม่ของน้อง จะมีกระจก Mirror of Loss อยู่ ตรงนี้ผมแนะนำให้เซฟไว้ก่อนนะครับ เพราะกระจกนี่ต้องผ่าน Skill Check หลายรอบมาก ผมจะเรียงไว้ให้คร่าวๆประมาณนี้
1. การ Activate กระจก ต้องผ่าน Skill Check สองอย่างคือ Religion (DC20) และ Arcana (DC25)
2. หลัง Activate กระจกแล้ว คนที่จะเพิ่ม Stat ต้องผ่าน Skill Check Religion (DC25) ของใครของมันเป็นรายบุคคลไป
3. หลังจากผ่านเช๊คทั้งหมดแล้ว เราจะสามารถมอบ Abilities 1 ใน 6 อันไหนก็ได้ของเราให้กับกระจก 2 แต้ม แล้วจะสามารถเลือกเพิ่ม Abilities 1 ใน 6 อันไหนก็ได้ของเรา 2 แต้มแทน เช่น คุณอาจะแลก Wis-2 แล้วเอา Cha+2 แทน
4. หลังจากเลือกได้แล้ว ให้ใช้ Remove Curse ลบคำสาปที่โดน -2 อยู่ ก็จะทำให้เรามีบัฟ +2 Abilities ที่เราเลือกไว้ฟรีๆอย่างถาวรครับ
5. ทำซ้ำข้อ 2-4 กับตัวละครอื่นๆได้ ยกเว้นจะเฟล Skill Check คนนั้นจะอดบัฟนี้ไปเลยถาวรครับ

ข้อนี้ให้เราเลือก Wis+2 ไปเลยครับ

จากสองข้อด้านบน ถ้าเราเลือกเพิ่ม Wis ทั้งหมด จะมี Wis สูงสุดที่ 22 และได้ Wis Modifier +6 ครับ
วิธีการเล่นของบิ้วนี้โดยละเอียด
Role และแนวทางการเล่น
จริงๆแล้วด้วยความป็นดรูอิทที่สามารถทำได้ตั้งแต่สากเบือยันเรือรบ Role ของบิ้วนี้เลยคล้ายๆบิ้ว 010 ที่เป็นบิ้ว Wild Shape อยู่ครับ แต่จะเน้นไปทาง Summoner กับ Offensive Caster มากกว่า และที่สำคัญ บิ้วนี้จะเริ่มเทิร์นก่อนชาวบ้านเค้าแทบจะเสมอเลยครับ เนื่องจากมีโบนัส Initiative+10 ทำให้มีโอกาสในการจัดการเซ็ตอัพสนามรบได้ดีด้วย ... ในส่วนของแนวทางการเล่นผมจะแจงให้ทั้ง 2 แบบของ Role ที่บอกข้างต้น แต่ผมจะขออธิบายรายละเอียดแยกกันนิดนึงนะครับเพราะรายละเอียดมันเยอะใช้ได้เลย

1. Role แบบนักเวทย์ผู้อัญเชิญ (Summoner)
เรียกได้ว่า เป็นอีกหนึ่งบิ้วที่จะมีลูกสมุนวิ่งติดตามจนเพื่อนในทีมเดินผ่านที่แคบๆกันไม่ได้ไปเลย 555 เพราะคุณจะสามารถอัญเชิญผู้ช่วยได้หลากหลายมากๆครับ โดยผมจะแจงรายละเอียดและคำแนะนำคร่าวๆไว้ให้ดังนี้
  • 3x Skeleton หรือ Zombies จากเวทย์ Animate Dead เลเวล 4 หรือ 3x Ghouls หรือ Flying Ghouls จากเวทย์ Animate Dead เลเวล 6 ... อันนี้ต้องใช้ศพ 3 ศพในครั้งเดียว ส่วนจะเรียกแบบไหนออกมาใช้ก็แล้วแต่เลย ผมแนะนำพวก Ghouls จะมีภาษีดีกว่าเพราะทำ Paralyze ได้ครับ
  • 4x Fungal Zombie จากสกิล Fungal Infestation ... ใช้ 1 ศพต่อการเรียก 1 ครั้ง ใช้ได้เรื่อยๆจนกว่าชาร์จจะหมด 4 แต้มครับ
  • 1x Dryad + 1x Wood Woad จากเวทย์ Conjure Woodland Being เวล 4 ... อันนี้มาเป็นแพ๊คคู่เลยแบบ 1 แถม 1 แนะนำว่าต้องมีไว้ใช้ครับ เพราะเป็นเวทย์อัญเชิญที่มีเฉพาะคลาส Druid เท่านั้น
  • 1x Azer หรือ 2x Ice Mephits หรือ 2x Mud Mephits จากเวทย์ Conjure Minor Elemental เวล 4 ... อันนี้ผมแนะนำ Ice Mephits ครับเพราะมีประโยชน์ที่สุดแล้ว
  • 1x Elemental ธาตุที่เลือกจากเวทย์ Conjure Elemental เวล 5 หรือ 1x Myrmidon ธาตุที่เลือกจากเวทย์ Conjure Elemental เวล 6 ... แต่ผมแนะนำ Air หรือ Water Myrmidon ครับเพราะเอาไว้ทำ CC หรือดาเมจได้ดีมากๆ
  • 1x Spiritual Weapon แบบที่เลือก (อยู่แค่ 10 เทิร์น) จากเวทย์ Spiritual Weapon เวล 2-6 ... อันนี้แนะนำเอาร่ายตอนอยู่ในไฟท์ก็ได้ครับ เพราะอยู่ได้แค่ 10 เทิร์น แถมระยะการเดิน(ลอย)มันสั้นมาก ดีตรงที่ไม่ต้อง Concentrate เอาไว้ใช้เวลาต้องการดาเมจเพิ่มหรือตัวหลอกล่อความสนใจ
รายการข้างบนคือสมุนที่เราอัญเชิญได้จากสกิลและเวทย์ของบิ้วนี้ครับ นอกจากนั้นยังมีพวก Familiar อย่าง Shovel หรือ Scratch และตัวอื่นๆที่เราจะได้มาฟรีๆอีก รวมๆก็ 12-15 ตัวเลยทีเดียว ซึ่งมันจะยั้วเยี้ยมากๆ แนะนำว่าเอาแค่ตัวที่อยากใช้ก็พอครับ

2. Role แบบนักเวทย์สายโจมตี (Offensive Caster)
ในโรลนี้ เราจะมีคอมโบเวทย์ไว้ทำดาเมจหลักๆอยู่คร่าวๆ 4 แบบ ตามนี้ครับ
2.1 Moonbeam Lv6 + Sanctuary
คอมโบหลักของบิ้วนี้เลย โดยการร่าย Moonbeam ด้วย Action Point กับปิดด้วยการร่าย Sanctuary ด้วย Bonus Action หลังจากนั้นก็ใช้ Move Moonbeam เผาผลาญศัตรูให้เป็นจุลฟรีๆได้อีก 10 เทิร์น ... เป็นคอมโบที่ประหยัด Spell Slot ที่สุดแล้ว
2.2 Sanctuary + Create Water + Call Lightning Lv6 + Destructive Wrath
อีกหนึ่งคอมโบยอดนิยมที่เรียกได้ว่ามีพลังทำลายล้างสูงสุดๆ เป็นสไตล์การเล่นแบบบิ้ว 018 ที่มีดาเมจสูงกว่าเพราะเราบังคับ Max Damage ได้ครับ แถมยังสามารถใช้เวทย์นี้ได้เรื่อยๆอีก 10 เทิร์นด้วย ... ข้อเสียคือ ต้องเตรียมการนาน และบิ้วนี้ไม่มีของช่วยเรื่อง AC กับ Con Saving Throw ทำให้หลุด Concentrate เวทย์นี้ได้ง่ายหากโดนโจมตีครับ
2.3 Create Water + Chain Lightning Lv6 (จากไม้เท้า) + Destructive Wrath
สไตล์ที่เลียนแบบมาจากบิ้ว 001 แบบเป๊ะๆ มีดาเมจที่สูงที่สุดของบิ้วนี้ ... ข้อเสียคือ ต้องเตรียมการนาน และใช้ได้แค่ 1 ครั้ง / 1 Short Rest เพราะเป็นเวทย์ที่ได้จากสกิล Kereska's Favour ของไม้เท้า Markoheshkir
2.4 Sanctuary + Create Water + Cone of Cold Lv5 (จากไม้เท้า)
อีกหนึ่งสไตล์ Shotgun น้ำแข็งที่ลอกบิ้ว 019 มา สามารถทำดาเมจน้ำแข็งได้แรงมากๆ และเหมาะกับการใช้ร่วมกับ Summon ธาตุน้ำแข็งต่างๆด้วย ... ข้อเสียคือ ต้องเตรียมการนาน และใช้ได้แค่ 1 ครั้ง / 1 Short Rest เพราะเป็นเวทย์ที่ได้จากสกิล Kereska's Favour ของไม้เท้า Markoheshkir

เป็นไงครับ นี่แค่ชี้แจงแนวทางการเล่นคร่าวๆก็เป็นหน้ากระดาษไปแล้ว เรียกได้ว่า สามารถทำได้หลายสิ่งไม่ใช่แค่การแกล้งศัตรูด้วยแสงจันทร์เท่านั้น แต่ยังสามารถทำดาเมจสายฟ้าหรือน้ำแข็งแบบดุๆได้ด้วย ... แต่ในส่วนของการเตรียมพร้อมและวิธีการใช้งานต่อสู้ ผมจะขอเขียนแค่สำหรับคอมโบ 2.1 เท่านั้นนะครับ เพราะเป็นจุดขายของบิ้วนี้ ในส่วนของคอมโบ 2.2-2.4 สามารถดูแนวทางตามบิ้ว 018, 001 และ 019 ตามลำดับได้เลย

การเตรียมพร้อมแบบ Step by Step
1. กินยา Elixir of Battlemage
เพื่อเพิ่ม Spell Save DC และ Spell Attack Roll +3 แต้ม เอาไว้ช่วยในการร่ายเวทย์โจมตีให้ศัตรู Save ผ่านได้ยากขึ้นครับ
2. เปิดใช้สกิล Symbiotic Entity เพิ่มเลือดสำรอง 36 หน่วย
จริงๆไม่ได้ซีเรียสเรื่องเลือดที่เพิ่มมาหรอกครับ แค่อยากได้สกิล Spores พิเศษจากเสื้อเกราะแค่นั้นเอง
3. ร่ายเวทย์ Longstrider ใส่ตัวไว้
เวทย์แบบ Ritual ที่ไม่เสีย Slot เวทย์ แถมยังทำให้เราเดินได้ไกลขึ้น 3 เมตรและอยู่ยาวจนกว่าจะ Long Rest ... เอ้า รออยู่ทำไม ร่ายเลยสิครับ 5555+

การใช้งานบิ้วนี้ในการต่อสู้แบบ Step by Step
ก่อนอื่น ต้องบอกก่อนว่าการใช้งานบิ้วนี้ให้ได้ผลสูงสุดคือการเข้าไป Solo ครับ เพราะไม่งั้นตอนเราอยู่ใน Sanctuary ศัตรูมันจะเดินไปหาเพื่อนหรือสมุนของเราแทน ทำให้เราทำดาเมจด้วย Moonbeam ใส่ศัตรูได้ยากเพราะวง AOE แสงจันทร์มันแคบมาก ... แต่ก็ยังสามารถใช้งานได้ดีอยู่นะครับ แค่อาจจะไม่ได้เต็มประสิทธิภาพเฉยๆ
1. ร่ายเวทย์ Moonbeam เลเวล 6 ทำดาเมจใส่ศัตรู
ข้อนี้ผมแนะนำให้ร่ายเก็บพวกตัวอันตรายหรือพวกระยะไกล อย่างนักเวทย์หรือนักธนูทั้งหลายครับ เพราะพวกนี้จะมี Counterspell ที่น่ารำคาญ กับ AI ของศัตรูระยะไกลมันจะไม่วิ่งเข้ามาหาเราเหมือน AI ศัตรูสายประชิดครับ
2. ร่ายเวทย์ Sanctuary ใส่ตัวเราไว้
ทำข้อนี้แล้ว คุณจะได้รับความรู้สึกแบบลูกรักพระเจ้า ผู้อยู่ในแสงศักดิ์สิทธิ์ที่ศัตรูจะทำอะไรเราไม่ได้เลย ได้แต่เดินมารุมล้อมมองหน้าเราแบบว่า ไอ้นี่น่ะเหรอ! คนที่ใช้คอมโบขี้โกงนี้น่ะ!
3. ใช้สกิล Move Moonbeam ใส่ศัตรูที่มากองอยู่ใกล้ๆเรา
ยิ่่งใช้ให้โดนทีละหลายๆตัวยิ่งดีครับ แต่ระวังใช้โดนตัวเองนะ เจ็บเอาเรื่องเลยล่ะ
4. ใช้สกิล Haste Spores ปล่อยกลุ่มควันเชื้อรา Haste เป็นเวลา 3 เทิร์น ใส่ตัวเราเอง
ในขั้นตอนนี้ศัตรูที่อยู่รอบๆตัวเราจะได้ไปด้วย แต่ก็ไม่มีประโยชน์ครับ เพราะมันโจมตีหรือทำอะไรเราไม่ได้อยู่ดี ... ในเทิร์นถัดๆไป ถ้าเราเริ่มเทิร์นแล้วไม่ได้รับผลจาก Spores ให้เดินนิดหน่อยพอไปให้สูดดมควันได้ครับ แล้วจะได้ Haste สำหรับเทิร์นนั้นมาฟรีๆ
5. ทำซ้ำข้อ 3 ไปเรื่อยๆจนกว่าศัตรูจะหมดสิ้นไปภายใน 10 เทิร์น
ก็คืองานเก็บกวาดแหละครับ คุณมีเวลา 10 เทิร์นในการจัดการศัตรูให้สิ้นซากด้วยการลงทัณฑืแห่งแสงจันทร์ซะ ... ถ้าไม่หมดจริงๆ ก็แค่วนไปทำซ้ำตั้งแต่ข้อ 1-3 ใหม่แค่นั้นเองครับ
6. กินยา Potion of Speed เพื่อใช้ Haste เป็นเวลา 3 เทิร์น
หลังจากหมดควัน Haste Spores แล้ว ถ้าคุณอยากจะเร่งกระบวนการกำจัดศัตรูให้เร็วขึ้น ก็ให้กระดกยานี้ครับ แต่มันจะอยู่ได้เป็นเวลา 3 เทิร์นเท่านั้นและจะติดมึนหลังหมดผลของยาแล้วด้วย (ดีที่ไม่ทำให้หลุด Concentrate ของ Moonbeam) ยังไงตอนใช้ก็ระมัดระวังด้วยนะครับ
Conclusion
ในที่สุดก็ครบ 30 บิ้วตามเป้าหมายที่วางไว้ซักทีครับ เป้าหมายถัดไปคือการทำไกด์เวทย์มนต์ทุกอย่างในเกม ซึ่งผมเคยเกริ่นไว้ว่าจะเป็นไกด์ใหญ่มาก ต้องใช้เวลาทำมหาศาล เพราะเวทย์ทั้งหมดในเกมมีมากกว่า 200 แบบ (ยังไม่นับชนิดย่อยๆในเวทย์นั้นๆนะครับ) ผมเลยคิดว่าจะทำบิ้วให้ครบตามที่ตั้งใจก่อน แล้วค่อยไปใช้เวลากับไกด์มหากาพย์อันนั้นครับ

ยังไงก็ต้องขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่านไกด์ผมทุกๆอันนะครับ ส่วนตัวผมเองก็ไม่เคยคิดว่าจะทำบิ้วไกด์มาได้เยอะขนาดนี้ เอาเป็นว่าหลังจากทำไกด์เรื่องเวทย์ทั้งหมดในเกมเสร็จ ผมอาจจะกลับมาทำบิ้วไกด์แนวนี้ต่อ (ถ้ายังพอมีไอเดียแจ่มๆเหลือนะครับ 5555) ... หากเขียนหรือให้ข้อมูลผิดพลาดตรงไหนสามารถแจ้งได้เลยนะครับ เพราะผมเองก็ไม่คิดจะทิ้งการเล่นเกมในดวงใจเกมนี้ไปอย่างแน่นอนฮะ

ขอตัวไปสาดแสงจันทร์ใส่เหล่ามวลศัตรูต่อละ ไว้พบกันใหม่ไกด์หน้าครับผม
Bonus รวมคลิปการบิ้ว วิธีเล่น และเทสรัน
สำหรับใครที่ขี้เกียจอ่านเรียงความยาวๆของผมนะครับ ลองดูในคลิปด้านล่างได้เลย ผมทำเผื่อไว้ให้แล้ว ... สามารถพูดคุยสอบถามได้จากในคลิปหรือในไกด์นี้ได้เลยนะครับ

คลิปการทำบิ้วตั้งแต่ Level 01-12


คลิปวิธีเล่นแบบคร่าวๆและอุปกรณ์ที่ใช้


คลิป Tactician Solo Test Run


คลิปวิธีเติมเลือดชั่วคราวแบบอันลิมิต

Link Guide&Build อื่นๆที่ผมได้ทำไว้
สำหรับใครที่ขี้เกียจเลื่อนหา หรืออาจจะหาไกด์ไหนไม่เจอ ลองกดไปดูในสารบัญรวมเล่มนี้ได้เลยครับ
https://test-steamproxy.haloskins.io/sharedfiles/filedetails/?id=3140547253
4 Comments
Kingreader-K  [author] 7 Dec, 2024 @ 5:28pm 
ปัจจุบันก็ยังใช้ได้ด้วยนะครับ 555 แต่ถ้าเล่นกับคนอื่น อาจจะไม่ค่อยได้ผลดีเท่าเล่น Solo ครับ ไม่งั้นศัตรูจะวิ่งไปตีเพื่อนเราแทน และ Moonbeam มันวงแคบมาก จะทำให้โดนศัตรูทีละหลายตัวได้ยากขึ้นครับ
cccZZA 7 Dec, 2024 @ 11:53am 
อมตะเลยสูตรนี้
Kingreader-K  [author] 20 Jun, 2024 @ 3:56am 
ปกติผมใช้เวทย์ Knock มาเปิดตลอด เดี๋ยวรันหน้าจะลองทั้งสองอย่างนี้ดูบ้างครับ 5555 ขอบคุณสำหรับข้อมูลด้วยครับ
paulxiep 20 Jun, 2024 @ 1:00am 
ประตูลับ Mystic Carrion ผมเคยพยายามผ่านด้วย Arcana ตั้งแต่สมัยเล่น Tactician โหลดยังไงก็ทอยไม่ผ่าน แต่นอกจากนั้นมีอีก 2 วิธีหลักครับ คือทุบด้วยอาวุธทุบ (eldritch blast ก็น่าจะเวิร์ค) หรือใช้ Rogue/Bard ปลดล็อคเหมือนประตูธรรมดาเลยก็ได้ เมื่อก่อนก็อุตส่าห์ save scum แทบตาย